การปลูกกระเจี๊ยบเขียว พืชที่นำมาประกอบเป็นอาหาร

กระเจี๊ยบเป็นพืชที่นำมาประกอบเป็นอาหาร  และเป็นที่รู้จักของคนเกือบจะทั่วโลก  และคนไทยปลูกกระเจี๊ยบไว้บริโภคทั่วทุกภาคของประเทศ  แต่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยและรู้จักเท่าไรนัก

กระเจี๊ยบที่ปลูกกันในประเทศมี  2  ชนิดคือ  กระเจี๊ยบเขียวและกระเจี๊ยบแดง  กระเจี๊ยบแดงนำมาทำน้ำกระเจี๊ยบ  ผลไม้กวน  ทำแกงส้ม  และทำชากระเจี๊ยบได้  ส่วนกระเจี๊ยบเขียวใช้ปรุงอาหาร  เช่น  แกงส้ม  แกงใส่ปลาย่าง  เครื่องเคียงน้ำพริก  และย่างกินกับหมูหรือเนื้อย่างเกาหลี  นอกจากจะนำมาปรุงอาหารและเครื่องดื่ม กระเจี้ยบยังมีคุณค่าและสรรพคุณทางสุมนไพรหลายชนิด  กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชล้มลุกมีอายุประมาณ 1 ปี เจริญเติบโตได้ดีในเขตอากาศกึ่งร้อน คือมีอุณหภูมิระหว่าง 18-35 องศาเซลเซียสมีถิ่นกำเนิดจากประเทศซูดาน

แหล่งเพาะปลูก

ในประเทศไทยนั้นพื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวมาก ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง มีหลายจังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร พิจิตร กาญจนบุรี ราชบุรี ระยอง และนครนายก

กระเจี๊ยบเขียว
ฝัก มีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม

การปลูกกระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียวสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ในฤดูหนาวจะให้ผลผลิตที่ต่ำเนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำ ทำให้ต้นเตี้ย แคระแกรน ออกดอกไว การเตรียมดินควรไถพลิกหน้าดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ และเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดินโดยการใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1,500 กิโลกรัมต่อไร่ หรือหว่านพืชตระกูลถั่วปล่อยทิ้งไว้จนออกดอกแล้วจึงทำการไถกลบ การปลูก ในฤดูฝนและฤดูแล้งใช้ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร (6,400 หลุมต่อไร่) คลุกเมล็ดด้วย สารเคมีไอโปรไดโอน 50% wp อัตรา 60 กรัมต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม เพื่อป้องกันโรคที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ หยอดเมล็ดหลุมละ 3-4 เมล็ด ถอนแยกเมื่ออายุได้ 30 วัน ให้เหลือจำนวนหลุมละ 2 ต้น

การดูแล

หลังปลูก  15 – 20 วันควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่ทุก 20 วัน

โรคที่สำคัญ ได้แก่ โรคใบจุด โรคแอนแทรคโนส  เมื่อปรากฏโรคควรฉีดป้องกันด้วยเชื้อบาซิลลัส (BT) ฉีดพ่นในอัตรา 30 -50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร  หรือใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา  แมนโคเซป หรือ ไธอะเบนดาโซล ฉีดพ่นตามฉลากแนะนำ  ส่วนโรคเส้นใบเหลือง  ที่มีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรคไวรัส ฉีดพ่นด้วย คาร์โบซัลแฟน หรือ ฟิโปรนิล

แมลงศัตรูที่สำคัญ ได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยไฟ  เพลี้ยอ่อน  เพลี้ยจั๊กจั่นฝ้าย ให้ฉีดพ่นด้วยเชื้อบาซิลลัส (BT) ฉีดพ่นในอัตรา 60 – 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร  หรือใช้สารสกัดธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากสะเดา ฉีดพ่นในอัตรา  60 – 80  ซีซี ต่อนำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุก ๆ 7 วัน และอาจใช้การจัดการเกษตรที่ดีเข้าช่วยด้วยการปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช

ต้นกระเจี๊ยบเขียว
ต้นกระเจี๊ยบเขียว ลำต้นมีขนหยาบ

การเก็บเกี่ยว

เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 45 – 50 วัน ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 เดือน สามารถเกี่ยวได้ ทั้งช่วงเช้าและบ่าย แต่การเก็บเกี่ยวในช่วงบ่ายไม่ค่อยเป็นที่นิยม เนื่องจาการระคายเคืองจากขนของกระเจี๊ยบเขียว  โดยการใช้ตัดทีละฝักตัดที่ขั้วให้เหลือก้านประมาณ 1  เซนติเมตร

การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

1. เมื่อกระเจี๊ยบเขียวอายุได้ 40 วันจะเริ่มออกดอก หลังจากดอกบาน 5 วัน จะสามารถเก็บเกี่ยวได้

2. ต้องเก็บกระเจี๊ยบเขียวทุกวัน ไม่ปล่อยฝักที่สามารถตัดได้ทิ้งไว้บนต้น เพราะฝักกระเจี๊ยบเขียวโตเร็วมาก

3. ในระหว่างเก็บเกี่ยวให้ตัดใบทิ้งครั้งละใบพร้อมกับการตัดฝักทุกครั้ง เพราะจำนวนใบที่มากเกินไปจะทำให้แสงแดดส่องไม่ถึงฝักล่าง ฝักจะมีสีซีด และยังเป็นการป้องกันการเป็นแหล่งของศัตรูพืช

4. ใช้มีดคมตัดขั้วทีละฝัก ตัดขั้วให้ตรง วางในภาชนะอย่างระมัดระวัง ไม่โยน

5. ใส่ถุงมือผ้าหรือถุงมือยางทุกครั้ง เพื่อป้องกันการระคายผิวหนัง

6. เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว รีบนำเข้าที่ร่ม การระบายอากาศดี

7. คัดแยกฝักที่ไม่ได้คุณภาพออก

ฝักกระเจี๊ยบเขียว
ฝักกระเจี๊ยบเขียว ตามฝักมีขนอ่อน เมล็ดสีขาว

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : https:// researchex.mju.ac.th
https://www.flickr.com

One Comment

Add a Comment