ขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านนำไปทำอาหารกินใบกินดอก ต้นเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา

ขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านนำไปทำอาหารกินใบกินดอก ต้นเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา 

ชื่ออื่นๆ : ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี), ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง), ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลางบางที่), ผักจี้ลี้ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ยะหา (มาเลย์-ปัตตานี) และขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้)

ต้นกำเนิด : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชื่อสามัญ : ขี้เหล็ก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna siamea Lam

ชื่อวงศ์ : Leguminosae

ชื่อภาษาอังกฤษ :  Cassia Tree,Thai Copper Pod

ขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านนำไปทำอาหารกินใบกินดอก ต้นเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา
ดอกขี้เหล็ก

ลักษณะของขี้เหล็ก

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นขี้เหล็กเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงปานกลาง ผลัดใบ สูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นมักคดงอเป็นปุ่มเปลือกสีเทาถึงสีน้ำตาลดำ ยอดอ่อนสีแดงเรื่อๆ ใบประกอบเป็น แบบขนนก เรียงสลับกัน มีใบย่อย 5-12 คู่ ปลายสุดมีใบเดียว ใบย่อยรูปขอบขนานด้านบนเกลี้ยง ดอกช่อสีเหลืองอยู่ตามปลายกิ่ง ดอกจะบานจากโคนช่อไปยังปลายช่อ กลีบเลี้ยงมี 3-4 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้10 อัน ผลเป็นฝักแบนยาวมีสีคล้ำ เมล็ดรูปไข่ยาวแบนสีน้ำตาลอ่อนเรียงตามขวางมี 20-30 เมล็ด เนื้อไม้มีสีน้ำตาลแก่เกือบดำ ส่วนของดอกและใบขี้เหล็กใช้เป็นอาหารในหลายประเทศ เช่น ไทย พม่า อินเดีย และมาเลเซีย เป็นต้น ในตำราการแพทย์แผนไทยได้มีการบันทึกประโยชน์ของขี้เหล็กในหลายด้าน เช่น ใช้แก้อาการท้องผูก ใช้แก้อาการนอนไม่หลับ ใช้ทำความสะอาดเส้นผม ทำให้ผมชุ่มชื่นเป็นเงางาม ไม่มีรังแค ช่วยเจริญอาหาร บำรุงน้ำดี และบำรุงโลหิต เป็นต้น

การขยายพันธุ์ของขี้เหล็ก

ใช้เมล็ด/โดยวิธีธรรมชาติ เมล็ด

ประโยชน์ของขี้เหล็ก

  • ประโยชน์ของขี้เหล็กในหลายด้าน เช่น ใช้แก้อาการท้องผูก ใช้แก้อาการนอนไม่หลับ ใช้ทำความสะอาดเส้นผม ทำให้ผมชุ่มชื่นเป็นเงางาม ไม่มีรังแค ช่วยเจริญอาหาร บำรุงน้ำดี และบำรุงโลหิต เป็นต้น
  • พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยภูมิ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัดและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ใน “โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ” เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงครบรอบปีที่ 50 ในการครองราชสมบัติ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537

สรรพคุณทางยาของขี้เหล็ก

  • ราก แก้ไข้ รักษาโรคเหน็บชา
  • เปลือก แก้ริดสีดวง
  • แก่น แก้ไข้ รักษากามโรค
  • ใบอ่อนและดอก ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบ่ายอ่อนๆ แก้ท้องผูก แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ลดความดัน ทำให้นอนหลับ
  • ใบและดอกขี้เหล็กทำให้เกิดอาการง่วงซึมและมีพิษน้อยกว่าสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ได้ศึกษา ต่อมาจึงมีผู้ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดใบขี้เหล็กอีกครั้งโดยใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อเรียบ และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2513 คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยน็อตติ้งแฮม ประเทศอังกฤษได้รายงานว่าสามารถสกัดสารชนิดใหม่จากใบขี้เหล็กได้ โดยตั้งชื่อว่าบาราคอล (barakol)

คุณค่าทางโภชนาการของขี้เหล็ก

ขี้เหล็ก,ดอก ประกอบด้วยสารอาหารดังต่อไปนี้คือ
– วิตามินเอ ( Total VitaminA (RE) ) 39   Ug
– เบต้า เคโรทีน ( Betacarotene ) 233   Ug
– วิตามินบี 1 ( Thiamin ) .11   Mg
– ไนอะซิน ( Niacin ) 1.8   Mg
– วิตามินซี ( VitaminC ) 484   Mg
– พลังงาน ( Energy ) 98   KCAL
– น้ำ ( Water ) 74.7   G
– โปรตีน ( Protein ) 4.9   G
– ไขมัน ( Fat ) .4   G
– คาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate ) 18.7   G
– ใยอาหาร( กาก ) ( Crude/ Dietar ) 9.8   G
– เถ้า ( Ash ) 1.3   G
– แคลเซียม ( Calcium ) 13   Mg
– ฟอสฟอรัส ( Phosporus ) 4   Mg
– ธาตุเหล็ก ( Iron ) 1.6   Mg

https://www.youtube.com/watch?v=rz_oPCiXH_s

References : www.bedo.or.th, www.forest.go.th

ภาพประกอบ : www.panmai.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย :  เกษตรตำบล.คอม

6 Comments

Add a Comment