ลักษณะต้นพวงตุ้มหู สมุนไพรท้องถิ่น ใบและกิ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

พวงตุ้มหู

ชื่ออื่นๆ : ตีนเป็ด, เข้าพรรษา (น่าน) ตุ้มไก่ (เลย) พวงตุ้ม หรือ พวงตุ้มหู (นครราชสีมา)

ต้นกำเนิด :  พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าชื้นทั่วไป ชอบที่ร่ม

ชื่อสามัญ :

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ardisia pilosa H.R.Fletcher

ชื่อวงศ์ : MYRSINACEAE

ลักษณะต้นพวงตุ้มหู

ต้นพวงตุ้มหู  ไม้พุ่มสูง 50-100 เซนติเมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นและก้านใบมีสีแดง ผิวเรียบ แตกกิ่งก้านน้อยช่วงปลายยอด

ต้นพวงตุ้มหู
ต้นพวงตุ้มหู ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นและก้านใบมีสีแดง

ใบพวงตุ้มหู  เป็นใบเดี่ยว เรียงแบบสลับเวียน รูปรี กว้าง 1-3 เซนติเมตร ยาว 2.5-7 เซนติเมตร โคนใบสอบหรือมน ปลายใบกลมมน ขอบใบหยักตื้น ผิวใบด้านบนมีจุดตามแผ่นใบ ลักษณะใบค่อนข้างอวบน้ำ หลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 3-10 มิลลิเมตร มีขน

ใบพวงตุ้มหู
ใบพวงตุ้มหู ใบรูปรี ขอบใบหยักตื้น

ดอกพวงตุ้มหู ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อละหลายดอก ก้านดอกยาวเกือบเท่ากัน ลักษณะคล้ายซี่ร่มแต่หัวห้อยลง กลีบรองกลีบดอก 4-5 กลีบ รูปไข่กว้าง กลีบดอก 4-5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน รูปไข่ กลีบซ้อนกันและมักจะบิดเวียน สีชมพูอมม่วง ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-10 มิลลิเมตร เกสรเพศผู้ก้านเกสรสั้น เรียงชิดติดกันมี 5 อัน รังไข่กลม ส่วนปลายเป็นท่อยาว ออกดอกราวเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

ดอกพวงตุ้มหู
ดอกพวงตุ้มหู ดอกสีชมพูอมม่วง คล้ายซี่ร่มแต่หัวห้อยลง

ผลพวงตุ้มหู รูปกลม ผิวมัน มีจุดระปราย ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดงสด กว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร

ผลพวงตุ้มหู
ผลพวงตุ้มหู ผลกลม ผิวมัน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดงสด

การขยายพันธุ์ของพวงตุ้มหู

การเพาะเมล็ด

ธาตุอาหารหลักที่พวงตุ้มหูต้องการ

ประโยชน์ของพวงตุ้มหู

  • ผล เป็นอาหารของสัตว์ป่า และนก
  • ลำต้น ใช้ทำขอบเครื่องจักสาน
  • ต้นพวงตุ้มหู สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้

สรรพคุณของพวงตุ้มหู

ตำรายาไทย

  • ราก เป็นยาแก้ไข้
  • ใบ เป็นยาแก้ไอ

องค์ประกอบทางเคมี

ใบและกิ่ง พบ protocatechuic acid, p-coumarinic acid, gallic acid, catechin, quercetin

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

  •  ใบและกิ่ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดปริมาณการสร้างสารอนุมูลอิสระไนตริกออกไซด์ ในหลอดทดลอง

คุณค่าทางโภชนาการของพวงตุ้มหู

การแปรรูปพวงตุ้มหู

สามารถติดตามความรู้เเกี่ยวกับการเกษตร เพิ่มเติมได้ที่ เกษตรตำบล.คอม

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

One Comment

Add a Comment