โมกเครือ ยอดอ่อนกินเป็นผักสด ทั้งต้นมีสรรพคุณทางยา

โมกเครือ

ชื่ออื่นๆ : เครือไส้ตัน (นครราชสีมา หนองคาย) เดื่อเครือ, เดื่อดิน, เดื่อเถา, เดื่อไม้, โมกเครือ (ภาคเหนือ) เดือยดิน (ประจวบคีรีขันธ์) เดือยดิบ (กระบี่) มะเดื่อดิน (ทั่วไป) มะเดื่อเถา (ราชบุรี ภาคเหนือ) ย่านเดือยบิด (สุราษฎร์ธานี) พิษ (ภาคกลาง) ย่านเดือยบิด, ไส้ตัน, ดื่อเครือ, เดื่อดิน (ใต้)

ต้นกำเนิด :

ชื่อสามัญ : Burkill

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amphineurion marginatum (Roxb.) D.J. Middleton

ชื่อวงศ์ : APOCYNACEAE

ลักษณะของโมกเครือ

ต้น ไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยพาดพันไม้อื่น ลำต้นสีน้ำตาล มีตุ่มที่เป็นช่องอากาศจำนวนมาก ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว

ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบรูปขอบขนาน กว้าง 2-4.5 เซนติเมตร ยาว 5-12.5 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือกลม ผิวใบด้านบนเกลี้ยงมีขนประปราย ผิวใบด้านล่างมีขนสั้นๆ ก้านใบมีขน ยาว 5-8 เซนติเมตร

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือตามง่ามใบ ยาว 5-10 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ ที่โคนเชื่อมติดกันเล็กน้อย มีขน กลีบดอกสีขาว ตอนโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ที่โคนสุดเป็นกะเปาะ ปลายเรียวแคบแยกเป็น 5 แฉก ดอกตูมกลีบดอกจะบิดงอ

ผล เป็นฝักออกติดกันเป็นคู่ เมื่อแก่ แห้งและแตกออก เมล็ดรูปขอบขนานยาว ปลายด้านหนึ่งมีขนติดเป็นกระจุกอยู่

ดอกโมกเครือ
ดอกโมกเครือ ดอกสีขาว ดอกตูมกลีบดอกจะบิดงอ

การขยายพันธุ์ของโมกเครือ

ใช้เมล็ด, ปักชำ

ธาตุอาหารหลักที่โมกเครือต้องการ

ประโยชน์ของโมกเครือ

  • ยอดอ่อน กินเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ  อาหารรสจัดต่าง ๆ หรือใส่แกงอ่อม
  • ผลอ่อน นำมาต้มจิ้มน้ำพริก รสฝาดมัน ให้แคลเซียมและวิตามินเอสูง มีให้เก็บกินตลอดปี

สรรพคุณทางยาของโมกเครือ

ตำรายาไทย

  • เถา มีรสเฝื่อนฝาด ใช้ทาฝี แก้เมื่อยขบ แก้ผดผื่นคัน  นำมาผสมกับผลมะตูมอ่อน เถาสิงโต และว่านมหากาฬ ต้มน้ำดื่มรักษาโรคเบาหวาน เข้ายารักษาประดง แก้พิษภายใน
  • ราก  แก้ประดงเม็ดผดผื่นคันตามผิวหนัง แก้ลมพิษ แก้พิษภายใน แก้ตับไตพิการ บำรุงกำลัง ขับโลหิตระดู ขับปัสสาวะ
  • ยอด ใช้แก้ท้องเสีย
  • ใบ แก้เมื่อยขบ เข้ายาทารักษาฝี และริดสีดวงทวาร

คุณค่าทางโภชนาการของโมกเครือ

การแปรรูปของโมกเครือ

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11256&SystemType=BEDO
www.flickr.com

Add a Comment