โรคจู๋ของข้าว ทำให้ข้าวต้นเตี้ย ออกรวงช้า

สาเหตุของโรค

โรคจู๋ หรือ โรคใบหงิก เกิดจากเชื้อไวรัสไม่ติดต่อทางเมล็ด ดิน นํ้า ลม หรือทางสัมผัสมันจะถูกถ่าย ทอดหรือติดต่อเข้าสู่ต้นข้าวได้โดยแมลงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล” เท่านั้น เมื่อแมลงดูดอมเชื้อไวรัสเข้าสู่ตัวมัน เชื้อไวรัสจะฟักตัวในแมลงนานประมาณ 8 วัน โดยเฉลี่ยจึงออกฤทธิ์คือ เมื่อแมลงที่อมเชื้อไปดูดกินต้นข้าวดีก็จะถ่ายทอดเชื้อไวรัสเข้าสู่ต้นข้าวและหลังจากนั้น ประมาณ 2 อาทิตย์เป็นอย่างเร็ว จนถึง 1 เดือน เป็นอย่างช้า ต้นข้าวที่ได้รับเชื้อก็จะเริ่มแสดงอาการ “โรคจู๋” เกิดกับข้าวทุกระยะการเจริญเติบโต อาการจะปรากฎหลังจากต้นข้าวได้รับเชื้อแล้ว 15-30 วัน โดยเฉพาะต้นข้าวอายุตั้งแต่ 15 ถึง 45 วัน ถ้าได้รับเชื้อแล้วจะแสดงอาการรุนแรงมาก ส่วนต้นข้าวอายุ ไม่เกิน 60 วันขึ้นไป แม้จะได้รับเชื้อและแสดงอาการก็ไม่ค่อยรุนแรงนัก

ต้นข้าว
ต้นข้าว เป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่สามารถกินเมล็ดได้

ลักษณะอาการ

อาการของต้นข้าวที่เป็นโรคจู๋จะสังเกตได้ง่ายคือ ข้าวต้นเตี้ย (สั้นจู๋) ไม่พุ่งสูงเท่าที่ควร ใบสีเขียว เข้มแคบและสั้น ใบใหม้จะแตกช้ากว่าปกติ และเมื่อพุ่งขึ้นมาดูไม่ค่อยสมบูรณ์ ปลายใบจะบิดเป็นเกลียว เป็นลักษณะเด่นที่เรียกว่า โรคใบหงิก นอกจากนี้จะสังเกตเห็นขอบใบแหว่งวิ่นและเส้นใบบวมโป่งเป็น แนวยาวทั้งที่ใบและกาบใบ ข้าวเป็นโรคจู๋จะออกรวงล่าช้า และให้รวงไม่สมบูรณ์ รวงให้เมล็ดลีบเป็นส่วนใหญ่อย่างที่ชาวนาเรียกว่าไม่มีเนื้อและเมล็ดที่สมบูรณ์ก็มักจะด่างเสียคุณภาพเป็นส่วนมาก ข้าวเป็น โรคจู๋จะทําให้ผลผลิตลดลงประมาณ 1/3 ถึง 2/3 และถ้ามีโรคแทรกเข้าซ้ำเติม เช่น โรคเมล็ดด่างและโรคใบขีดสีน้ำตาล ซึ่งทั้งสองโรคนี้มักจะพบเสมอกับข้าวที่เป็นโรคจู๋ อาจทําให้ผลผลิตเสียหายถึง 100 %

การป้องกันและกำจัด

  1. กำจัดหรือทําลายเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสสาเหตุโรคจู๋นี้นอกจากจะมีฤทธิ์ดำรงชีพอยู่ในตัวแมลงแล้ว ยังแพร่ขยายปริมาณอยู่ตามตอซังข้าวและพืชอาศัย เช่น ข้าวป่าและหญ้าบางชนิดซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของ เชื้อ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดข้ามฤดูอย่างต่อเนื่อง จึงควรจัดการทำลายแหล่งพืชอาศัยของเชื้อเป็น ประการแรก คือ เร่งไถกลบหรือเผาตอซังในนาข้าวที่เป็นโรค ดูแลกำจัดวัชพืชในนาสม่ำเสมอโดยเฉพาะวัชพืชใกล้แหล่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยขยายพันธุ์แมลงพาหะ
  2. ป้องกันข้าวติดเชื้อโดยใช้พันธุ์ข้าวที่ต้านทาน ในแหล่งที่เคยมีประวัติการระบาดโรคจู๋มาก่อน ชาวนาควรใช้พันธุ์ต้านทานที่กรมวิชาการเกษตรแนะนํา ปัจจุบันมีพันธุ์ข้าว กข9, กข 21, กข23, และ กข25 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านานการดูดกินของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดีพอสมควร
  3. ป้องกันและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (แมลงพาหะ) หลังจากปฏิบัติขั้นตอนข้อ 1 และ 2 ดีแล้วก็อย่า เพิ่งนอนใจ ชาวนาโดยเฉพาะในแหล่งที่มีโรคจู๋ระบาดรุนแรง ควรเอาใจใส่ตรวจตรา อย่าให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลนำเชื้อเข้าสู่แปลงนาได้ วิธีการนี้จำเป็นต้อง ใช้สารเคมีเข้าช่วย เริ่มใช้ตั้งแต่ระยะกล้าโดยใช้สารเคมีประเภทดูดซึมประเภท คาร์โบฟูราน หรือสารประเภทเดียวกันตาม คําแนะนําของ กรมวิชาการเกษตร หว่านในแปลงกล้าอัตรา 5 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ก่อนหว่านกล้าหรือหลัง ข้าวงอกแล้ว 3-4 วันก็ได้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอระหว่างนี้ชาวนาควรหมั่นตรวจดูในแปลงว่ามีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอยู่ในแปลงบ้างหรือไม่ ถ้าหากพบเพียง 2-3 ตัวต่อต้น ในเนื้อที่แปลง 1 ตารางเมตร ก็จงรีบใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่นทําลายทันที สารประเภทฆ่าแมลงโดยตรงนี้ก็มีด้วยกันหลาย ชนิด ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร อาทิเช่น มิปซิน 50% อีโทรโฟราน 50% บาสซ่า 50% ไบร์คาร์บ 50% ฮอฟซิน 50% และฟอสซ์ 20% พ่นสารนี้ประมาณ 1-3 ครั้งแล้วแต่จำนวนแมลง ถ้าไม่พบแมลงเลยก็ไม่จำเป็น ต้องฉีดพ่น การฉีดพ่นทิ้งช่วงประมาณ 7 วัน/ครั้ง ก็เป็นอันหมด ช่วงป้องกัน 30 วันแรก ต่อมาในช่วง 30 วันหลังก็ปฏิบัตเช่นเดียวกันนี้ การปฏิบัติดังกล่าวนี้ใช้ได้ทั้งในแปลงนาดํา และแปลงนาหว่านทุกประเภท
อาการโรคจู๋
อาการโรคจู๋ ปลายใบจะบิดเป็นเกลียว รวงข้าวจะลีบ

หมายเหตุ

การใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชทุกชนิดควรระมัดระวัง เพราะอาจเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ได้หากปฏิบัติ ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ เกษตรกรที่มีปัญหาหรือข้อขัดข้องในการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชสอบถามราย ละเอียดได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด หน่วยป้องกันและกำจัดศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

หลักการกรีดยางที่ดี

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ :
http://www.eto.ku.ac.th
https://www.flickr.com

Add a Comment