“คอลลาเจนไทพ์ทู” มีอยู่เยอะมากภายในกระดูกข้อต่อ และจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดกับร่างกายจึงหนีไม่พ้นโรคเข้าเข่าเสื่อม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะพบได้มากกว่าวัยอื่น การใช้คอลาเจนชนิดนี้ในการรักษาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อฟื้นฟูกระดูกข้อต่อให้แข็งแรง
คอลลาเจนไทพ์ทู และโรคข้อเสื่อม
ณ ปัจจุบัน โรคข้อเสื่อมสามารถรักษาได้หลายวิธี ซึ่งคอลลาเจนไทพ์ทูก็เป็นตัวเลือกที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ดีกว่าการใช้ยาแก้ปวดบางชนิดที่ทำให้เกิดบาดแผลในกระเพาะอาหาร หรือดีกว่าการผ่าตัดรักษาที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
ส่วนการรักษาข้อเสื่อมด้วยคอลลาเจนไทพ์ทู ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือลดอาการปวดและต้านการอักเสบได้ดี พร้อมกันนี้ยังช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์กระดูกอ่อนบริเวณผิวกระดูกข้อต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนไทพ์ทูยังลดลงได้จากปัจจัยอื่น
1.น้ำหนัก – ถ้าน้ำหนักตัวมาก หรืออ้วนก็ทำให้สูญเสียคอลลาเจนไทพ์ทู เพราะข้อเข่าต้องแบกน้ำหนักมากกว่าปกติ และทุกครั้งที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นแค่กิโลกรัม ข้อเข่าก็จะต้องแบกรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1-2 กิโลกรัม
2.เพศ – ผู้หญิงวัย 55 ปีขึ้นจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนนี้สูง
3.
พันธุกรรม – ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกระดูกข้อต่อ หรือข้อเข่าเสื่อมมาก่อน เมื่อแก่ตัวลงไป ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นได้เช่นกัน หรือในเรื่องของกระดูก รูปร่างของกระดูกที่ผิดปกติบริเวณข้อเข่า ก็จัดเป็นเป็นพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ที่ทำให้สูญเสียคอลลาเจนนี้ไวกว่าปกติ
4.บาดเจ็บบริเวณเข่าบ่อย – เช่น นักกีฬา หรือผู้ประกอบอาชีพที่ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง และอาชีพแบกหาม ที่ต้องแบกของน้ำหนักกว่า 25 กิโลกรัมเป็นประจำ ก็ทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักเยอะ ก็จัดว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน
5.ความเจ็บป่วย – คนที่เป็น
โรครูมาตอยด์ มีอัตราสูญเสียคอลลาเจนไทพ์ทูมากกว่าปกติ รวมถึงคนที่มีความผิดปกติ เช่น มีโกรธ์ฮอร์โมนมาเกินไป ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตาม.
“คอลลาเจนไทพ์ทู” มีอยู่เยอะมากภายในกระดูกข้อต่อ และจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดกับร่างกายจึงหนีไม่พ้นโรคเข้าเข่าเสื่อม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะพบได้มากกว่าวัยอื่น การใช้คอลาเจนชนิดนี้ในการรักษาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อฟื้นฟูกระดูกข้อต่อให้แข็งแรง
[b][size=150]คอลลาเจนไทพ์ทู และโรคข้อเสื่อม[/size][/b]
ณ ปัจจุบัน โรคข้อเสื่อมสามารถรักษาได้หลายวิธี ซึ่งคอลลาเจนไทพ์ทูก็เป็นตัวเลือกที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ดีกว่าการใช้ยาแก้ปวดบางชนิดที่ทำให้เกิดบาดแผลในกระเพาะอาหาร หรือดีกว่าการผ่าตัดรักษาที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
ส่วนการรักษาข้อเสื่อมด้วยคอลลาเจนไทพ์ทู ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือลดอาการปวดและต้านการอักเสบได้ดี พร้อมกันนี้ยังช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์กระดูกอ่อนบริเวณผิวกระดูกข้อต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[b][size=150]นอกจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนไทพ์ทูยังลดลงได้จากปัจจัยอื่น[/size][/b]
1.น้ำหนัก – ถ้าน้ำหนักตัวมาก หรืออ้วนก็ทำให้สูญเสียคอลลาเจนไทพ์ทู เพราะข้อเข่าต้องแบกน้ำหนักมากกว่าปกติ และทุกครั้งที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นแค่กิโลกรัม ข้อเข่าก็จะต้องแบกรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1-2 กิโลกรัม
2.เพศ – ผู้หญิงวัย 55 ปีขึ้นจะมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนนี้สูง
3.[url=https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1]พันธุกรรม[/url] – ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกระดูกข้อต่อ หรือข้อเข่าเสื่อมมาก่อน เมื่อแก่ตัวลงไป ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นได้เช่นกัน หรือในเรื่องของกระดูก รูปร่างของกระดูกที่ผิดปกติบริเวณข้อเข่า ก็จัดเป็นเป็นพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ที่ทำให้สูญเสียคอลลาเจนนี้ไวกว่าปกติ
4.บาดเจ็บบริเวณเข่าบ่อย – เช่น นักกีฬา หรือผู้ประกอบอาชีพที่ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง และอาชีพแบกหาม ที่ต้องแบกของน้ำหนักกว่า 25 กิโลกรัมเป็นประจำ ก็ทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักเยอะ ก็จัดว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน
5.ความเจ็บป่วย – คนที่เป็น[url=https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%8C]โรครูมาตอยด์[/url] มีอัตราสูญเสียคอลลาเจนไทพ์ทูมากกว่าปกติ รวมถึงคนที่มีความผิดปกติ เช่น มีโกรธ์ฮอร์โมนมาเกินไป ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตาม.