"งาแดง"พันธุ์ใหม่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
"งา"เป็นพืชชนิดหนึ่งที่เกษตรกรนิยมปลูกเพื่อสร้างรายได้เสริม ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกงาปีละประมาณ 4.2 แสนไร่ มีทั้ง งาขาว งาแดง และ งาดำ ได้ผลผลิตรวมประมาณ 5 หมื่นตัน โดยเฉพาะงาแดงมีการปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศดีกว่างาชนิดอื่น ทั้งยังให้ผลผลิตต่อไร่สูง จึงเป็นลักษณะพันธุ์ที่เกษตรกรต้องการใช้มาก ปัจจุบันนักวิจัย กรมวิชาการเกษตร ได้ปรับปรุงพันธุ์ ’งาแดงพันธุ์ใหม่” ประสบผลสำเร็จอีกหนึ่งพันธุ์ มี ความโดดเด่น ทางด้าน การให้ผลผลิต ที่สำคัญยัง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (antioxidants) เป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรที่จะนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
เมล็ดงามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีน ประมาณ 21-27% ทั้งยังมีน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีธาตุอาหารเกือบครบถ้วน อาทิ ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมี สารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในการป้องกันและรักษาโรค โดยมีรายงานวิจัยระบุว่า การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็งและลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย
งาแดงเป็นงาที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาห กรรมน้ำมันค่อนข้างมาก โดยผ่านกระบวนการเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกทำเป็นงาขัด เพื่อให้เมล็ดเป็นสีขาวทดแทนงาขาวที่มีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นพืชที่มีศักยภาพด้านการตลาด ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 35-40 บาท เพิ่มจากปี 2554 ที่มีราคากิโลกรัมละ 20 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ได้ปรับปรุงพันธุ์งาแดงพันธุ์ใหม่สำเร็จเพิ่มอีกหนึ่งพันธุ์ คือ พันธุ์ A30-15 ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอให้คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช พิจารณาประกาศเป็น พันธุ์แนะนำ ของกรมวิชาการเกษตร ชื่อ ’งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2” (Ubon Ratchathani 84-2) เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา
งาแดงพันธุ์ใหม่นี้ได้จากการคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ของ สายพันธุ์ 30-15 ซึ่งรับมาจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือเอฟเอโอ (FAO) เมื่อปี 2528 โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีได้ปลูกคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ช่วงระหว่างปี 2532-2534 จากนั้นทำการปลูกเปรียบเทียบเบื้องต้น 1 แปลง แล้วปลูกเปรียบเทียบมาตรฐาน จำนวน 3 แปลง ปลูกเปรียบเทียบในท้องถิ่น 23 แปลง และปลูกทดสอบในไร่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลพบุรี พิษณุโลก และสุโขทัย ศรีสะเกษ ลพบุรี เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ รวม 13 แปลงด้วย
งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 134 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ
6% และให้ผลผลิตในเขตปลูกงาจังหวัดลพบุรีและเพชรบูรณ์ เฉลี่ย 142 กิโลกรัมต่อไร่
นอกจากนั้นยังมีปริมาณ สารต้านอนุมูลอิสระ จำนวน 10,451 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ 15% ซึ่งงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 สามารถใช้ปลูกได้ทั่วไปในสภาพการผลิตงาในประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งปลูกงา ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรี จะให้ผลผลิตสูง
ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำแปลงสาธิตงาแดงสายพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรลพบุรี พร้อมจัดฝึกอบรมการปลูกงาที่ถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงการแปรรูปงาให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง จำนวน 128 ราย พบว่า เกษตรกรทั้งหมดให้การยอมรับในงาสายพันธุ์นี้ เนื่องจากให้ผลผลิตสูง มีจำนวนฝักต่อต้นมาก ลำต้นแข็งแรง มีข้อถี่ แตกกิ่งต่ำ และแตกกิ่งมาก ลักษณะการติดฝักต่ำ เมล็ดโต มีสีเมล็ดแดงสม่ำเสมอ และไม่ค่อยมีการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ปัจจุบันศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีมีเมล็ดพันธุ์งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 เป็นเมล็ด พันธุ์คัด 100 กิโลกรัม และผลิตเมล็ด พันธุ์หลัก 500 กิโลกรัม สามารถผลิตเป็นเมล็ด พันธุ์ขยาย ได้ประมาณ 5,000 กิโลกรัม เตรียมพร้อมรองรับความต้องการของเกษตรกรที่สนใจได้
อย่างไรก็ตาม หากสนใจเกี่ยวกับงาแดงพันธุ์ใหม่ “พันธุ์อุบลราชธานี 84-2” สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โทร. 0-4520-2187-8.
โดย ณัฐพล ลูกแม่โจ้ หัวใจเกษตร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฟาร์มดี(ฟาร์มไส้เดือนของคนพิการ)
งาแดง พันธุ์ใหม่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
หมวดนี้สำหรับ ถามตอบปัญหาต่างๆ ของการทำเกษตร ศัตรูพืช สอบถามวิธีแก้ปัญหาจากเพื่อนๆ
ย้อนกลับไปยัง “ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร”
ไปที่
- เกษตร
- ↳ ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร
- ↳ เกษตรกร Showcase
- ↳ เกษตรกรรายงานตัว - จังหวัด ตำบล
- ↳ เกษตรกรุงเทพ และ ปริมณฑล
- ↳ กรุงเทพฯ
- ↳ นครปฐม
- ↳ นนทบุรี
- ↳ ปทุมธานี
- ↳ สมุทรปราการ
- ↳ สมุทรสาคร
- ↳ เกษตรภาคกลาง
- ↳ กำแพงเพชร
- ↳ ชัยนาท
- ↳ นครสวรรค์
- ↳ เพชรบูรณ์
- ↳ ลพบุรี
- ↳ สมุทรสงคราม
- ↳ สระบุรี
- ↳ สิงห์บุรี
- ↳ สุโขทัย
- ↳ สุพรรณบุรี
- ↳ พระนครศรีอยุธยา
- ↳ อ่างทอง
- ↳ อุทัยธานี
- ↳ เกษตรภาคตะวันออก
- ↳ จันทบุรี
- ↳ ชลบุรี
- ↳ ตราด
- ↳ นครนายก
- ↳ ปราจีนบุรี
- ↳ ระยอง
- ↳ สระแก้ว
- ↳ เกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - ภาคอีสาน
- ↳ ขอนแก่น
- ↳ กาฬสินธุ์
- ↳ นครราชสีมา
- ↳ ชัยภูมิ
- ↳ นครพนม
- ↳ บุรีรัมย์
- ↳ บึงกาฬ
- ↳ มหาสารคาม
- ↳ มุกดาหาร
- ↳ ยโสธร
- ↳ ร้อยเอ็ด
- ↳ เลย
- ↳ ศรีสะเกษ
- ↳ สกลนคร
- ↳ สุรินทร์
- ↳ หนองคาย
- ↳ หนองบัวลำภู
- ↳ อำนาจเจริญ
- ↳ อุดรธานี
- ↳ อุบลราชธานี
- ↳ เกษตรภาคเหนือ
- ↳ เชียงราย
- ↳ เชียงใหม่
- ↳ น่าน
- ↳ พะเยา
- ↳ แม่ฮ่องสอน
- ↳ แพร่
- ↳ ลำพูน
- ↳ อุตรดิตถ์
- ↳ พิจิตร
- ↳ พิษณุโลก
- ↳ ลำปาง
- ↳ เกษตรภาคตะวันตก
- ↳ กาญจนบุรี
- ↳ ฉะเชิงเทรา
- ↳ ตาก
- ↳ ราชบุรี
- ↳ เพชรบุรี
- ↳ ประจวบคีรีขันธ์
- ↳ เกษตรภาคใต้
- ↳ กระบี่
- ↳ ชุมพร
- ↳ ตรัง
- ↳ นครศรีธรรมราช
- ↳ นราธิวาส
- ↳ ปัตตานี
- ↳ พังงา
- ↳ พัทลุง
- ↳ ภูเก็ต
- ↳ ยะลา
- ↳ ระนอง
- ↳ สงขลา
- ↳ สตูล
- ↳ สุราษฎร์ธานี
- ↳ ความรู้วิชาการเกษตร
- ↳ ความรู้สมุนไพร ตำรายาแผนโบราณ
- ↳ วีดีโอ สอนการทำเกษตร
- ↳ ข่าวเกี่ยวกับการเกษตร เทคโนโลยีการเกษตร
- ↳ ประกาศจ้างงาน รับสมัครงาน เกี่ยวกับการเกษตร
- นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร (เกษตรตำบล)
- ↳ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร แนะนำตัว
- ↳ ถาม-ตอบ ปัญหางานส่งเสริมการเกษตร
- ↳ ขอแลกเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่ง
- ซื้อ - ขาย - แจก ราคาพืช
- ↳ ฝากขาย
- ↳ ประกาศซื้อ
- ↳ มีของแจก - แจกพันธุ์ไม้ เมล็ดพันธุ์
- ↳ ราคาสินค้าเกษตจากแหล่งขายต่างๆ
- ↳ สินค้าเกษตร - พิกัดสินค้าประมง