งาแดง พันธุ์ใหม่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

หมวดนี้สำหรับ ถามตอบปัญหาต่างๆ ของการทำเกษตร ศัตรูพืช สอบถามวิธีแก้ปัญหาจากเพื่อนๆ
KasetTaln
โพสต์: 176
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 16 ม.ค. 2013 1:24 pm

งาแดง พันธุ์ใหม่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

ข้อมูล โดย KasetTaln »

"งาแดง"พันธุ์ใหม่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
งา.jpg
งา.jpg (70.98 KiB) Viewed 4048 times
"งา"เป็นพืชชนิดหนึ่งที่เกษตรกรนิยมปลูกเพื่อสร้างรายได้เสริม ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกงาปีละประมาณ 4.2 แสนไร่ มีทั้ง งาขาว งาแดง และ งาดำ ได้ผลผลิตรวมประมาณ 5 หมื่นตัน โดยเฉพาะงาแดงมีการปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศดีกว่างาชนิดอื่น ทั้งยังให้ผลผลิตต่อไร่สูง จึงเป็นลักษณะพันธุ์ที่เกษตรกรต้องการใช้มาก ปัจจุบันนักวิจัย กรมวิชาการเกษตร ได้ปรับปรุงพันธุ์ ’งาแดงพันธุ์ใหม่” ประสบผลสำเร็จอีกหนึ่งพันธุ์ มี ความโดดเด่น ทางด้าน การให้ผลผลิต ที่สำคัญยัง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (antioxidants) เป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรที่จะนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น

เมล็ดงามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีน ประมาณ 21-27% ทั้งยังมีน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีธาตุอาหารเกือบครบถ้วน อาทิ ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมี สารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในการป้องกันและรักษาโรค โดยมีรายงานวิจัยระบุว่า การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็งและลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย

งาแดงเป็นงาที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาห กรรมน้ำมันค่อนข้างมาก โดยผ่านกระบวนการเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกทำเป็นงาขัด เพื่อให้เมล็ดเป็นสีขาวทดแทนงาขาวที่มีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นพืชที่มีศักยภาพด้านการตลาด ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 35-40 บาท เพิ่มจากปี 2554 ที่มีราคากิโลกรัมละ 20 บาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ได้ปรับปรุงพันธุ์งาแดงพันธุ์ใหม่สำเร็จเพิ่มอีกหนึ่งพันธุ์ คือ พันธุ์ A30-15 ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอให้คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช พิจารณาประกาศเป็น พันธุ์แนะนำ ของกรมวิชาการเกษตร ชื่อ ’งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2” (Ubon Ratchathani 84-2) เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา

งาแดงพันธุ์ใหม่นี้ได้จากการคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ของ สายพันธุ์ 30-15 ซึ่งรับมาจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือเอฟเอโอ (FAO) เมื่อปี 2528 โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีได้ปลูกคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ช่วงระหว่างปี 2532-2534 จากนั้นทำการปลูกเปรียบเทียบเบื้องต้น 1 แปลง แล้วปลูกเปรียบเทียบมาตรฐาน จำนวน 3 แปลง ปลูกเปรียบเทียบในท้องถิ่น 23 แปลง และปลูกทดสอบในไร่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลพบุรี พิษณุโลก และสุโขทัย ศรีสะเกษ ลพบุรี เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ รวม 13 แปลงด้วย

งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 134 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ
6% และให้ผลผลิตในเขตปลูกงาจังหวัดลพบุรีและเพชรบูรณ์ เฉลี่ย 142 กิโลกรัมต่อไร่

นอกจากนั้นยังมีปริมาณ สารต้านอนุมูลอิสระ จำนวน 10,451 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ 15% ซึ่งงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 สามารถใช้ปลูกได้ทั่วไปในสภาพการผลิตงาในประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งปลูกงา ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรี จะให้ผลผลิตสูง

ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำแปลงสาธิตงาแดงสายพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรลพบุรี พร้อมจัดฝึกอบรมการปลูกงาที่ถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงการแปรรูปงาให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง จำนวน 128 ราย พบว่า เกษตรกรทั้งหมดให้การยอมรับในงาสายพันธุ์นี้ เนื่องจากให้ผลผลิตสูง มีจำนวนฝักต่อต้นมาก ลำต้นแข็งแรง มีข้อถี่ แตกกิ่งต่ำ และแตกกิ่งมาก ลักษณะการติดฝักต่ำ เมล็ดโต มีสีเมล็ดแดงสม่ำเสมอ และไม่ค่อยมีการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ปัจจุบันศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีมีเมล็ดพันธุ์งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 เป็นเมล็ด พันธุ์คัด 100 กิโลกรัม และผลิตเมล็ด พันธุ์หลัก 500 กิโลกรัม สามารถผลิตเป็นเมล็ด พันธุ์ขยาย ได้ประมาณ 5,000 กิโลกรัม เตรียมพร้อมรองรับความต้องการของเกษตรกรที่สนใจได้

อย่างไรก็ตาม หากสนใจเกี่ยวกับงาแดงพันธุ์ใหม่ “พันธุ์อุบลราชธานี 84-2” สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โทร. 0-4520-2187-8.

โดย ณัฐพล ลูกแม่โจ้ หัวใจเกษตร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฟาร์มดี(ฟาร์มไส้เดือนของคนพิการ)

ย้อนกลับไปยัง “ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร”