การปลูก ฟักทอง พันธุ์ คางคก

ความรู้วิชาการเกษตร หมวดนี้สำหรับรวบรวม ความรู้ทางการเกษตร ทุกรูปแบบ
ทัศวรรณ อ่อนพรมราช
โพสต์: 11
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 07 ม.ค. 2017 12:45 am

การปลูก ฟักทอง พันธุ์ คางคก

ข้อมูล โดย ทัศวรรณ อ่อนพรมราช »

การปลูก ฟักทอง พันธุ์ คางคก

"ฟักทอง" มีหลายพันธุ์ ฟักทอง จัดเป็นผักในตระกูลแตง ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศทางแถบทวีปอเมริกาคือ สหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก เป็นต้น จากประวัติความเป็นมาสืบได้ว่า ฟักทอง มีการปลูกมาตั้งแต่ 10,000-30,000 ปี ที่ผ่านมา จัดเป็นพืชผักที่มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานที่สุดชนิดหนึ่ง สำหรับประเทศไทย ฟักทอง จะมีชื่อเรียกแตกต่างตามพื้นที่ อาทิ ภาคใต้ จะเรียก "น้ำเต้า" ภาคเหนือ เรียก "ฟักเขียว", "มะฟักแม้ว" ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก "ฟักเหลือง", "หมากอึ" และภาคกลาง เรียก "ฟักทอง" เป็นต้น ในทางโภชนาการจัดให้ฟักทองเป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงชนิดหนึ่ง น้ำหนักของฟักทองสด จำนวน 100 กรัม (1 ขีด) จะมีปริมาณเส้นใย 1.1 กรัม วิตามินเอ 1,600 IU และวิตามินซี 9 มิลลิกรัม นอกจากนั้น ยังจัดเป็นพืชผักที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ในทางการแพทย์มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่า สารเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด และยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระและยังมีส่วนช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง

สำหรับในประเทศไทย เราพบว่า ฟักทอง ที่ปลูกเพื่อการบริโภคนั้น ลักษณะของพันธุ์จะมีเปลือกสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอ หรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก ผลที่แก่จัดขึ้นนวลสีขาวตั้งแต่ขั้วไปทั้งผล และนิยมปลูกพันธุ์ผลใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 4-5 กิโลกรัม หรือผลเล็กมีน้ำหนักผลระหว่าง 2-3 กิโลกรัม ในปัจจุบันพันธุ์ฟักทองทางการค้าที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกจะใช้พันธุ์ลูกผสม เนื่องจากให้ผลผลิตสูงและมีเปลือกแบบหนังคางคกหรือลายข้าวตอก

สภาพพื้นที่และฤดูที่เหมาะสมต่อการปลูกฟักทอง
ฟักทองจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีค่า pH=5.5-6.8 จัดเป็นพืชผักที่ทนดินสภาพกรดได้ระดับปานกลาง และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำที่ดี โดยปกติแล้วฤดูการผลิตฟักทองที่เหมาะสมจะปลูกในช่วงเดือนกรกฎาคม-มกราคม จะปลูกหลังจากที่ต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด มีใบจริง จำนวน 1 ใบ หรือเมื่ออายุต้นกล้ามีอายุได้ 9-12 วัน ให้ย้ายปลูก ถ้ามีแหล่งน้ำที่ดี หรือปลูกในช่วงฤดูฝน อาจจะปลูกโดยการหยอดเมล็ดได้โดยตรง ต้นฟักทองจะเริ่มออกดอกหลังจากย้ายปลูกไปประมาณ 40-50 วัน มีช่วงเวลาในการผสมเกสร 10-15 วัน หลังจากผสมเกสร 40-50 วัน จึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลแก่ และมีช่วงเวลาในการเก็บเกี่ยว 15-20 วัน ใช้เวลาตลอดฤดูการผลิตฟักทองในแต่ละรุ่น 100-120 วัน ดอกเพศเมียและเพศผู้จะบานในตอนเช้า จะบานในช่วงเวลา 03.30-06.00 น. อับเรณูจะแตกระหว่างเวลา 21.00-03.00 น. ละอองเรณูจะมีชีวิตอยู่ได้ 16 ชั่วโมง หลังอับเรณูแตกยอดเกสรเพศเมียพร้อมรับการผสมเกสรก่อนดอกบาน 2 ชั่วโมง และหลังดอกบาน 10 ชั่วโมง ดังนั้น ช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมในการผสมเกสรคือ ตั้งแต่เวลา 06.00-09.00 น. ต้นฟักทองจะเจริญเติบโตได้ผลดีที่อุณหภูมิระหว่าง 18-27 องศาเซลเซียส จัดเป็นพืชผักที่ไม่ทนต่อความหนาวเย็นจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส พบว่าต้นฟักทองจะชะงักการเจริญเติบโตในสภาพอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส


วิธีการเตรียมพื้นที่ปลูกฟักทอง
ในการเตรียมพื้นที่ปลูกฟักทอง เกษตรกรต้องตรวจสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน เมื่อตรวจพบว่าดินมีค่าความเป็นกรดสูง หรือมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 จะต้องใส่ปูนขาว หินปูน หรือปูนโดโลไมต์ อัตรา 100-200 กิโลกรัม ต่อไร่ (การใส่ปูนขาว ควรใส่ก่อนที่จะลงมือปลูกอย่างน้อย 1 สัปดาห์) หลังจากนั้น ให้ไถพรวนผสมคลุกเคล้าให้ปูนผสมกับดินและตากดินทิ้งไว้ ในการเตรียมดินเพื่อปลูกฟักทองในแต่ละรุ่นจะต้องเริ่มต้นจากการไถพรวนตากดินให้มีความลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร ปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อให้วัชพืชตาย

นอกจากนี้ ควรมีการใช้ปุ๋ยหมักเพื่อการปรับปรุงดินเพื่อเพิ่มผลผลิตของฟักทอง การใช้ปุ๋ยหมักอย่างต่อเนื่องจะมีผลดีต่อการปรับปรุงคุณภาพของดิน อัตราการใช้ปุ๋ยหมักขึ้นอยู่กับประเภทของดินที่ใช้ปลูกฟักทอง สำหรับดินทรายหรือดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก อัตราการใส่ปุ๋ยหมักจะสูง ส่วนดินเหนียวในภาคกลางหรือดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางทางภาคเหนือ จะใช้อัตราปุ๋ยหมักที่ต่ำกว่าระยะปลูกฟักทอง ควรจะใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 1 เมตร ระยะระหว่างเถา 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 400 ต้น ต่อไร่ ในการเตรียมพื้นที่ด้วยการปักหลักไม้ทุกระยะ 1 และ 4 เมตร ไปตามแนวของพื้นที่ปลูก เปิดร่องใส่ปุ๋ยตามแนวหลักไม้ที่ปักไว้ เปิดร่องให้ลึก 30 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ยหมัก
การใส่ปุ๋ยหมักควรรองพื้น อัตรา 2 ตัน ต่อ 1 ไร่

การใส่ปุ๋ยเคมีให้ฟักทอง
การใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 16-16-16 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่

หลังจากใส่ปุ๋ยควรเปิดร่องน้ำและกลบปุ๋ยรองพื้น ได้แปลงที่มีความกว้าง 4.5 เมตร ร่องน้ำกว้าง 50 เซนติเมตร ปลูกต้นฟักทองให้ห่างจากขอบแปลง 25 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร ปลูก 2 แถว เลื้อยเข้าหากัน จำนวน 1 ต้น ต่อหลุม ยกแปลงให้สูง 30 เซนติเมตร เพื่อให้การระบายน้ำได้ผลดี คลุมพลาสติคกว้าง 1.5 เมตร หรือใช้ฟางข้าวเป็นแถวยาวในแนวที่ย้ายปลูกเพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชในระยะที่เถายาว 1.5 เมตร

สำหรับวิธีการปลูกฟักทองในรูปแบบของเกษตรอินทรีย์นั้น ผศ.ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ปลูกฟักทองโดยไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารสังเคราะห์ทุกชนิด มีการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดีโดยใช้ปุ๋ยหมักมีการคลุมดินด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว ซากพืช และสัตว์ที่ผุพัง มีการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อลดการระบายของศัตรูพืชและมีการอนุรักษ์แมลงที่เป็นประโยชน์ สำหรับน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากพืช เช่น ผักต่างๆ ผลไม้ วัชพืช และสมุนไพร เป็นต้น ใช้อัตราส่วนเศษพืช 3 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน โดยนำวัสดุมาย่อยหรือสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ หรือบดให้ละเอียดคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลให้เข้ากันในภาชนะ โดยใส่ให้เกือบเต็ม ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่มมีสภาพอากาศถ่ายเทดี หลังจากการหมักไปได้ 7-10 วัน ให้กรองเอาแต่ของเหลวมาผสมน้ำ อัตราส่วน 1 : 200 หรือ 1 : 1,000 ฉีดพ่นต้นพืชหรือราดลงดินบริเวณรากพืช

ยังมีสูตรน้ำปุ๋ยชีวภาพที่ทำได้ง่ายๆ เช่น ผสมรำละเอียด 60 กิโลกรัม มูลไก่ 40 กิโลกรัม คลุกให้เข้ากัน จากนั้นใช้เชื้อ พด.1 (เชื้อเร่งการทำปุ๋ยหมัก) 1 ซอง ต่อน้ำ 20 ลิตร คนให้เข้ากันนานประมาณ 15-20 นาที นำน้ำเชื้อ พด.1 ไปเทใส่กองปุ๋ยคลุกให้มีความชื้นมากพอ (สังเกตความชื้นของกองปุ๋ยด้วยการกำวัสดุแล้วคลายมือออก ก้อนวัสดุยังไม่แตก) หลังจากนั้น กองวัสดุที่ผสมเข้ากันดีแล้ว โดยใช้กระสอบป่านคลุม กลับกองปุ๋ยทุกวัน เป็นเวลานาน 7-10 วัน เมื่อปุ๋ยหมักได้ที่แล้วแผ่กองปุ๋ยผึ่งให้แห้งเพื่อเก็บไว้ใช้ได้นาน วิธีการนำมาใช้ผสมปุ๋ยหมักชีวภาพแห้ง อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ไว้ในถังนานประมาณ 5-7 วัน คนให้ปุ๋ยย่อยสลายจะได้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่เข้มข้น ปุ๋ยหมักชีวภาพแห้ง อัตรา 1 กิโลกรัม ทำเป็นปุ๋ยน้ำได้ 400-800 ลิตร สามารถนำไปตักรดหรือปล่อยตามร่องให้กับแปลงปลูกฟักทองหรือผสมกับสมุนไพรในการป้องกันและกำจัดศัตรูฟักทองได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต

ผศ.ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี ย้ำว่า ในการใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตในการปลูกฟักทองนั้น จะต้องได้รับแร่ธาตุอาหารที่เพียงพอ อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับพืชที่ปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การราดน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพลงในดินจะเป็นการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ให้แก่ดินบริเวณรากพืช พร้อมกับเป็นการปรับความชื้นในดินบริเวณนั้นให้มีความเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ กิจกรรมต่างๆ ของจุลินทรีย์จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้อาหารจากปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกหรือพืชสดและวัชพืชที่ใส่ลงในดิน สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้และสร้างสารควบคุมการเจริญเติบโตให้แก่พืชได้อย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง



ปลูกฟักทอง ในเนื้อที่ 1 ไร่

ใช้เมล็ดพันธุ์ 100-150 กรัม

ในการปลูกฟักทองในพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้เมล็ดพันธุ์ จำนวน 500-600 เมล็ด หรือเมื่อชั่งเป็นน้ำหนักประมาณ 100-150 กรัม ในการเพาะเมล็ดเพื่อปลูกในแต่ละรุ่นนั้น เกษตรกรจะต้องเพาะต้นกล้าเผื่อความเสียหายของอัตราความงอกของเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าตาย หลังจากการย้ายปลูกไว้อย่างน้อย 20-30% วัสดุที่ใช้ในการเพาะเมล็ดฟักทองนั้น แนะนำให้ใช้ส่วนผสมของ ดิน : ปุ๋ยหมัก : ขุยมะพร้าว = 1 : 1 : 1 โดยดินและปุ๋ยหมักเป็นแหล่งธาตุอาหารต่างๆ สำหรับการเจริญเติบโต สำหรับขุยมะพร้าวช่วยทำให้ก้อนวัสดุเพาะรวมตัวกันเป็นก้อนไม่แตกในขณะที่ย้ายปลูก เมล็ดฟักทองที่จะนำมาเพาะ ควรบ่มด้วยการนำเมล็ดพันธุ์ใส่ในถุงพลาสติคที่เจาะรูให้น้ำเข้าได้ นำไปแช่ในน้ำที่สะอาดนาน 4 ชั่วโมง น้ำจะช่วยให้เมล็ดฟักทองเริ่มงอก นำถุงที่บรรจุเมล็ดพันธุ์ที่อวบน้ำมาห่อด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ แล้วบรรจุลงในถุงพลาสติค รัดปากถุงให้แน่น บ่มในสภาพอุณหภูมิปกติ นาน 12-24 ชั่วโมง จะพบว่ารากเริ่มงอกยาว 0.5 เซนติเมตร จึงนำไปเพาะต่อไป สำหรับการบ่มเมล็ดพันธุ์ฟักทองในช่วงฤดูหนาว ควรจะให้ความอบอุ่นแก่เมล็ดพันธุ์โดยการบ่มในกล่องกระดาษที่ใช้หลอดไฟฟ้า อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดพันธุ์อยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส



การตัดแต่งและไว้ตำแหน่งผลของฟักทอง

การตัดแต่งจะทำหลังจากย้ายต้นกล้าฟักทองลงปลูกในแปลง 10-15 วัน เมื่อถึงระยะมีใบที่ 5 ให้เด็ดยอดทิ้ง หลังจากนั้นภายใน 2 สัปดาห์ จะมีเถาแขนงแตกออกจากมุมใบ 3-4 เถา ให้ติดผลที่เถาแขนง ข้อที่ 5-7 จำนวน 4-5 ผล ให้ติดผลในข้อที่มากกว่า เมื่อผลมีขนาดเท่ากับผลมะนาว ให้คัดเลือกผลที่สมบูรณ์เหลือเพียง 3-4 ผล ต่อต้น หลังจากนั้น ให้ห่อผลเพื่อป้องกันแมลงวันทอง ปล่อยให้แขนงแตกโดยธรรมชาติและปลิดผลอ่อนในส่วนปลายเถาออกทิ้งเป็นระยะๆ ในการตัดแต่งควรจะทำในช่วงเวลาเช้าเพื่อให้บาดแผลแห้งภายในวันนั้น เพื่อเป็นการปกป้องการเข้าทำลายโดยเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่พืชทางบาดแผลและอาจพ่นสารเคมีป้องกันโรคพืชตามความเหมาะสม นอกจากนี้ วันที่ตัดแต่งถ้าเป็นไปได้เป็นวันที่มีแสงแดดตลอดวันจะยิ่งดี การเก็บเกี่ยวผลผลิตฟักทอง หลังจากที่มีการย้ายต้นกล้าฟักทองลงปลูกในแปลงนาน 80-100 วัน หรือหลังจากดอกบาน 40-60 วัน ผลฟักทองจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจัดและมีนวลสีขาวที่ผล เถาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม การผลิตฟักทองสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตแบบผลอ่อนหรือผลแก่ตามความต้องการของตลาด เก็บเกี่ยว 2-3 ครั้ง ช่วงระยะของการเก็บเกี่ยว 15-20 วัน ผลผลิตฟักทองเฉลี่ย 3-6 ตัน ต่อไร่



แจกฟรี "เมล็ดพันธุ์ฟักทองพันธุ์ดี" พร้อมกับ หนังสือ "การผลิตฟักทองแบบปลอดภัย" พิมพ์ 4 สี เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ 50 บาท (ระบุชื่อหนังสือ) ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398

ที่มา: สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ปี 2551
ทัศวรรณ อ่อนพรมราช
โพสต์: 11
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 07 ม.ค. 2017 12:45 am

Re: การปลูก ฟักทอง พันธุ์ คางคก

ข้อมูล โดย ทัศวรรณ อ่อนพรมราช »

เคล็ด
ช่วงดอกบานให้เอานมที่ผสมให้เด็กกิน พวกนมผงน่ะค่ะผสมน้ำแล้วพ่นที่ดอก เพื่อล่อให้แมลงเข้ามาผสม ทำให้ติดลูกดกเหมือนกัน
ทัศวรรณ อ่อนพรมราช
โพสต์: 11
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 07 ม.ค. 2017 12:45 am

Re: การปลูก ฟักทอง พันธุ์ คางคก

ข้อมูล โดย ทัศวรรณ อ่อนพรมราช »

ฟักทองเป็นพืชที่มีความเหมาะสมในการปลูกช่วงหลังการทำนา เกษตรกรจะประสบความสำเร็จในการผลิตฟักทองให้ได้คุณภาพ จึงต้องศึกษาถึงลักษณะนิสัยของพืชชนิดนี้ ตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว การเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม การเตรียมดินก่อนปลูก การให้น้ำ-ปุ๋ย ตลอดจนปัญหาของโรค-แมลงศัตรู เพื่อจะได้หาวิธีป้องกันกำจัด และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ

สำหรับบ้านเราพบว่าฟักทองที่ปลูกเพื่อการบริโภคนั้น ลักษณะของพันธุ์จะมีเปลือกสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอหรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก ผลที่แก่จัดขึ้นนวลสีขาวตั้งแต่ขั้วไปทั้งผลและนิยมปลูกพันธุ์ผลใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 4-5 กิโลกรัม หรือผลเล็กมีน้ำหนักผลระหว่าง 2 กิโลกรัม<

ในปัจจุบันพันธุ์ฟักทองทางการค้าที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกจะใช้พันธุ์ลูกผสม เนื่องจากให้ผลผลิตสูงและมีเปลือกแบบหนังคางคกหรือลายข้าวตอก

ฟักทองเป็นพืชผักที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้น เช่นเดียวกับแตงโม เป็นไม้เถาอ่อน มีขนสากมือ มีหนวด สำหรับเกี่ยวพันทอดไปตามพื้นดิน จึงต้องการเนื้อที่ปลูกมากกว่าพืชผักอื่นๆ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ มีอายุปีเดียว (ฤดูเดียว) เมื่อให้ผลแล้วก็ตายไป

ฟักทองจัดเป็นพืชที่มีระบบรากลึก การเตรียมแปลงปลูกจึงต้องไถดินให้ลึก ประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน เพื่อเป็นการไล่แมลงศัตรูในดินและฆ่าเชื้อโรคบางชนิด

ในการเตรียมแปลงปลูก ควรมีการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่าง ของดิน ให้มีค่า 6.0-6.8 หากดินมีสภาพเป็นกรดควรปรับสภาพโดยใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ ใส่ระหว่างการเตรียมแปลงปลูก

การใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในการปรับปรุงสภาพดินจะช่วยลดการเกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้ในระดับหนึ่ง

ส่วนการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว โดยพิจารณาการใส่ตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ทั้งนี้หากเกษตรกรนำดินส่งวิเคราะห์ (ที่กรมพัฒนาที่ดินในแต่ละจังหวัด) เกษตรกรก็จะทราบว่าที่ดินของตนเองมีปริมาณธาตุอาหารในดินสามารถที่จะทราบถึงปริมาณธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน และควรจะเพิ่มเติมอะไร เท่าไร รวมถึงการเลือกใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสม เป็นต้น เพื่อให้ฟักทองเจริญเติบโตดีขึ้น หลักการเลือกรูปแบบการปลูก การเตรียมแปลงปลูกฟักทองสามารถเลือกปลูกได้หลายรูปแบบ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกเป็นส่วนสำคัญมาก

วิธีแรก
หากมีพื้นที่ปลูกเพียงเล็กน้อย สามารถปลูกระยะ 1.55 เมตร วิธีนี้เมื่อฟักทองโตขึ้นจะทำให้ลำบากต่อการจัดการ เนื่องจากเถาจะกระจายเต็มพื้นที่ แต่มีข้อดีคือจะได้ผลผลิตต่อพื้นที่มากขึ้น
วิธีที่สอง การปลูกแถวเดี่ยว ทำแปลงแถวเดี่ยวความกว้างของแปลง 1.8-2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.5 เมตร เมื่อปลูกฟักทองสามารถจัดเถาฟักทองให้เลื้อยไปในแนวแปลงปลูก ทำให้ง่ายต่อการจัดการมากกว่าวิธีแรก
วิธีที่สาม การปลูกแบบแถวคู่ ยกร่องแปลงเป็น 2 ด้าน ระยะ 3.5-5 เมตร ระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร เช่นเดียวกับวิธีที่หนึ่งและวิธีที่สอง วิธีนี้สามารถจัดเถาฟักทองให้เลื้อยจรดกัน 2 ด้านพอดี และมีร่องทางเดินทำให้ทำงานได้สะดวกมากขึ้น

หยอดโดยตรง หรือเพาะกล้า พิจารณาจากต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์

การเลือกเมล็ดพันธุ์ฟักทองที่ใช้ปลูกกันทั่วไปมี 2 แบบ คือ เมล็ดพันธุ์แบบผสมเปิด ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเก็บไว้ขยายพันธุ์ต่อได้เอง ปัจจุบันเมล็ดพันธุ์แบบผสมเปิดหาได้น้อยมาก เนื่องจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรซื้อมาปลูกจะเลือกผลิตเมล็ดพันธุ์แบบลูกผสม มีลักษณะเด่นในการให้ผลผลิตสูง ขนาดของต้น ผล และการเจริญเติบโตดี
แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถนำเมล็ดไปปลูกต่อได้ และเกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายกับเมล็ดพันธุ์ฟักทองในราคาแพงมาก

ดังนั้น การพิจารณาถึงวิธีการปลูกเพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้โดยมีวิธีการเลือกปลูกได้ 2 แบบ ได้แก่
หนึ่ง การปลูกแบบหยอดเมล็ด ก่อนปลูกขุดหลุมปลูก รองก้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว หยอดเมล็ด 3-5 เมล็ด กลบด้วยดินผสมละเอียด หรือขี้เถ้าแกลบดำก็ได้ ลึก 2.5-5 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางข้าว รดน้ำให้ชุ่มอย่างสม่ำเสมอทุกวันเช้าและเย็น ประมาณ 3-5 วัน
ต้นกล้าจะงอกพ้นจากดิน ให้เกษตรกรสังเกตและช่วยแหวกฟางข้าวที่คลุมแปลงที่หลุมปลูกออก ช่วยไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการงอกของต้นกล้าฟักทอง

เมื่อต้นกล้าฟักทองมีใบจริง 2-3 ใบ ควรถอนเอาต้นที่อ่อนแอ ดูแล้วไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้เพียง 1 ต้น ต่อหลุมการปลูกโดยการเพาะกล้า นำเมล็ดฟักทองล้างน้ำสัก 1-2 รอบ จากนั้นแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้สัก 30 นาที จากนั้นนำเมล็ดไปห่อไว้ในผ้าขาวบาง นำเมล็ดไปบ่มไว้ในกล่องพลาสติกใสหรือกระติกน้ำเก่า 3-5 วัน</span>เมื่อเมล็ดจะแตกรากออกมาเล็กน้อย จึงค่อยๆ ย้ายเมล็ดนำไปเพาะในถาดเพาะกล้าที่ใส่วัสดุเพาะกล้า (เช่น มีเดีย) รดน้ำ 10-12 วัน หรือฟักทองมีใบจริง 1-2 ใบ จึงย้ายปลูกได้
ก่อนหยอดเมล็ดหรือนำกล้าลงปลูก ควรหยอดปุ๋ยสูตรเสมอ 19-19-19 อัตรา 5 กรัม หรือรองก้นหลุม พร้อมกับการหยอดสารป้องกันแมลงจากการทดลองของแผนกฟาร์มชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร โดยใช้ “สตาร์เกิล จี” หยอดก้นหลุม อัตรา 2 กรัม ต่อหลุม พบว่า ระยะต้นกล้าของฟักทอง คือช่วงที่ต้นฟักทองทอดยอดยาว ระหว่าง 20-30 เซนติเมตร ฟักทองไม่ถูกทำลายจากแมลงปากดูด และสามารถกำจัดด้วงเต่าแตงที่มาทำลายใบได้ดีมาก
นอกจากนี้ ยังได้ให้ปุ๋ยต้นฟักทองในระยะกล้าที่มีใบจริง 3-4 ใบ โดยการนำปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0 อัตรา 800 กรัม+แคลเซียมไนเตรต อัตรา 100 กรัม+ไฮมิค อัตรา 300 ซีซี+สารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น สารเมตาแลกซิล อัตรา 300 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร

วิธีใช้ จะใช้การราดโคนต้นฟักทอง อัตรา 300 ซีซี ต่อต้น จะช่วยให้ต้นฟักทองในระยะกล้าแข็งแรง ต้นกล้าที่ใบเหลือง ไม่สมบูรณ์ ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนได้
หัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตของฟักทองคือ การให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการให้น้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
เนื่องจากการให้ปุ๋ยที่มากเกินความต้องการของฟักทองจะทำให้ปุ๋ยที่นำไปใช้เพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหลือจะระเหยไปกับอากาศ และไหลไปไกลกว่าระดับรากของฟักทอง</span></p>
ดังนั้น การให้ปุ๋ยเหมาะสมกับช่วงของการเจริญเติบโตจะช่วยให้ฟักทองเจริญเติบโตได้ดีขึ้น การให้ปุ๋ยควรหยอดปุ๋ยสูตรเสมอรองก้นหลุมก่อนปลูก เช่น 19-19-19 อัตรา 5 กรัม ต่อหลุม เพื่อให้เพิ่มปริมาณธาตุอาหารแก่ฟักทองในระยะกล้า เมื่ออายุ 10-14 วัน ใส่ปุ๋ยตัวหน้าสูง เช่น 46-0-0, 15-0-0 อัตรา 10-15 กิโลกรัม ต่อไร่
เมื่อฟักทองอายุได้ 20-25 และ 30 วัน ควรให้ปุ๋ย สูตร 13-13-21 โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งละ 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่

เทคนิคการช่วยผสมเกสร ฟักทองจะมีดอกสีเหลืองทั้งตัวผู้และตัวเมียจะแยกกัน แต่อยู่ในต้นเดียวกัน ดอกเพศเมียจะเป็นดอกเดี่ยวที่เกิดบริเวณมุมใบ มีกลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกมีสีเหลือง 5 กลีบ รังไข่มีลักษณะกลมยาว 2-5 เซนติเมตร มีลักษณะเหมือนผลฟักทองขนาดเล็ก ส่วนของยอดเกสรเพศเมียมี 2-5 แฉก
การเจริญเติบโตในระยะแรกการแสดงดอกของฟักทองจะแสดงดอกเพศผู้ ส่วนดอกเพศเมียจะมีตั้งแต่ ข้อที่ 12-15 ดอก ที่เกิดปลายเถาและเถาแขนงมักเป็นดอกเพศเมีย
ดังนั้น จึงต้องการช่วยผสมเกสรโดยวิธีธรรมชาติ เช่น ลมพัด หรือแมลงช่วยผสมเกสร หรือให้ผู้ปลูกช่วยผสมเกสรเพื่อการติดผลที่ดี เมื่อดอกฟักทองกำลังบาน ให้เลือกดอกตัวผู้ เด็ดมาแล้วปลิดกลีบดอกออกให้หมด นำไปเคาะละอองเกสรตัวผู้ให้ตกลงบนดอกตัวเมีย ถ้าติดผลก็จะให้ผลอ่อน
ถ้าไม่ติดผลดอกตัวเมียจะฝ่อไป
ดอกฟักทองจะบานแค่ 1 วัน ในช่วงเช้ามืด พอแดดแรงช่วง 09.00 น. เป็นต้นไป ก็จะเริ่มหุบ หากจะผสมเกสรควรเริ่มผสมในช่วงเช้าๆ เพราะเมื่อบ่ายดอกฟักทองจะเริ่มเหี่ยวแล้วจะเฉาตาย ในวันรุ่งขึ้นดอกก็จะเฉาตายไป

สำหรับเกษตรกรที่ปลูกฟักทองในเชิงพาณิชย์ ปลูกเพื่อเป็นรายได้เสริม หรือปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีความจำเป็นจะต้องผสมเกสรและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการออกดอกของฟักทอง ดอกเพศเมียและเพศผู้จะบานในตอนเช้า จะบานในช่วงเวลา 03.30-06.00 น. อับเรณูจะแตกระหว่างเวลา 21.00-03.00 น. ละอองเรณูจะมีชีวิตอยู่ได้ 16 ชั่วโมง
หลังอับเรณูแตกยอดเกสรเพศเมียพร้อมรับการผสมเกสรก่อนดอกบาน 2 ชั่วโมง และหลังดอกบาน 10 ชั่วโมง
ดังนั้น ช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมในการผสมเกสรคือ ตั้งแต่เวลา 06.00-09.00 น.
การให้น้ำฟักทอง
ฟักทองเป็นพืชที่มีระบบรากลึก การให้น้ำจึงต้องให้น้ำซึมลงใต้ดินประมาณ 25-40 เซนติเมตร แต่ไม่ควรให้แปลงแฉะ จะทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้
การเลือกรูปแบบการให้น้ำแก่ฟักทองควรพิจารณาถึงสภาพพื้นที่ หากพื้นที่ปลูกฟักทองอยู่ใกล้ระบบชลประทานหรือมีคลองส่งน้ำที่ดี สามารถเลือกการให้น้ำแบบปล่อยเข้าร่องแปลง
พื้นที่ที่มีน้ำเป็นคลองหรือสระน้ำที่มีน้ำจำกัด สามารถให้น้ำแบบสายยางรด หรือให้น้ำแบบน้ำหยด (เป็นวิธีที่มีการทำแปลงด้วยพลาสติกคลุมแปลง)
แต่การให้น้ำแบบพ่นฝอยเป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากการให้น้ำแบบพ่นฝอยทำให้ฟักทองเกิดโรคทางใบได้เร็วมากขึ้น
โรคและแมลงศัตรูที่ทำความเสียหาย
ปัญหาของการเกิดโรคในฟักทองเป็นสิ่งที่ไม่สร้างความลำบากใจให้เกษตรกรมากนัก หากมีการจัดการระบบการปลูกที่ดี โรคต่างๆ ก็ไม่สามารถทำความเสียหายได้ เช่น การเตรียมดินก่อนการปลูกที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดโรครากเน่า-โคนเน่าได้ โดยการใช้โดโลไมท์โรยในแปลงระหว่างการเตรียมแปลง ใช้ปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมักเพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุยเพื่อให้รากทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงการไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำที่กันบ่อยๆ หรือปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับสภาพดินสลับการปลูกฟักทองหรือพืชตระกูลแตง
การเกิดโรคทางใบ ได้แก่ โรคราน้ำค้าง ที่มักระบาดในช่วงฤดูฝน หรือการให้น้ำแบบพ่นฝอย วิธีแก้ไขโดยการตัดต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย ไม่ให้น้ำแบบพ่นฝอย ใช้สารป้องกันโรคพืช เช่น แอนทราโคล ปริมาณ 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตรโรคราแป้ง มักระบาดรุนแรงเมื่อสภาพอากาศเย็น ใบพืชแห้งในเวลากลางคืน
นอกจากนี้ ปัญหาแมลงศัตรูฟักทองนั้นมีไม่มากนัก เพราะใบและก้านที่มีขนช่วยในการป้องกันภัยจากแมลงได้ดี
ทั้งนี้แมลงศัตรูฟักทอง ได้แก่ ด้วงเต่าแตง แมลงปากดูด และแมลงหวี่ขาว
หากไม่มีการระบาดรุนแรงใช้สารเคมีที่สามารถควบคุมแมลงได้หลายชนิด เช่น เซฟวิน 85 ปริมาณ 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ไม่ควรใช้อัตราสูงกว่านี้ อาจจะทำให้ใบไหม้) ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน
ส่วนเพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ระบาดในฤดูแล้ง ตัวอ่อนจะมีสีแสด ตัวแก่จะเป็นสีดำ ตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม มันจะดูดน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใต้ใบอ่อน ทำให้ยอดหดสั้น ปล้องถี่ยอดชูตั้งขึ้น หรือเรียกว่า “โรคยอดตั้ง” ฉีดป้องกันโดยใช้ยาไฟท์ช็อท หรือเบโนมิล ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน โดยควรงดการฉีดพ่นก่อนการเก็บเกี่ยว 15 วัน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตฟักทอง
เก็บเกี่ยวเมื่อผลขึ้นนวลเต็มผลตั้งแต่ขั้วไปจนตลอดก้นผล แสดงว่าแก่จัด ฟักทองที่เนื้อเหนียว มัน รสชาติหวานจะต้องแก่จัด ถ้าเก็บฟักทองไม่แก่เมื่อเอาไปทำอาหารเนื้อจะเละการตัดควรเหลือขั้วติดไว้สักพอประมาณหรือไว้พอจับสะดวกโดยอย่าให้ขั้วหักซึ่งจะส่งผลต่อราคาจะถูกโดยทันที เพื่อช่วยให้การเก็บรักษาได้นานขึ้น สามารถเก็บผลไว้รอขายหรือบริโภคไว้นานๆ โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็นหรือสังเกตว่าเถาแห้ง หรือนับอายุหลังจากผสมติดแล้ว 35-40 วัน

หากฟักทองเกิดบาดแผลจะทำให้โรคเข้าทำลาย ผลผลิตเสียหายหรือเน่าได้ง่ายมาก เกษตรกรต้องเก็บผลผลิตด้วยความระมัดระวัง ไม่เกิดการบอบช้ำจะทำให้ยืดอายุการเก็บรักษาได้นานหลายเดือน
ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ความรู้วิชาการเกษตร”