กะพ้อ
ชื่ออื่นๆ : พ้อ (ภาคใต้)
ต้นกำเนิด : พบได้ทั่วไปทางภาคใต้ชึ้นอยู่ในป่าพรุหรือตามหัวไร่ปลายนา
ชื่อสามัญ : –
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Licuala spinosa Wurmb.
ชื่อวงศ์ : PALMAE
ลักษณะของกะพ้อ
ต้น เป็นพืชตระกูลปาล์ม เป็นไม้พุ่ม สูงถึง 5 เมตร มักแตกหน่อเป็นกอใหญ่ แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-8 ซม. ยอดอ่อน ใบอ่อนและช่อดอก มีสะเก็ดรังแคสีน้ำตาลแต่หลุดร่วงง่าย
ใบ ใบประกอบรูปพัด ก้านใบยาว 1-2 เมตร ขอบก้านใบมีหนามสีเหลือง มีลักษณะไม่แน่นอน เรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบตลอดทั้งก้าน ใบย่อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม 18-19 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีใบย่อย 3-4 ใบ ขอบใบเชื่อมติดกันเกือบตลอด แต่ละใบย่อยยาว 50-70 ซม. ปลายใบย่อยหยักเว้า
ดอก ดอกเป็นช่อเชิงซ้อน 2 ชั้น ช่อดอกยาว 1-2 ซม. ดอกหนึ่งๆ จะให้ผลเพียงผลเดียว
ผลผล ลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8-1 ซม. เนื้อบาง เมล็ดกลม แก่จัดสีส้ม เมื่อสุกจะมีสีส้มถึงแดงคล้ำ
การขยายพันธุ์ของกะพ้อ
การแยกหน่อ หรือปลูกจากเมล็ดที่สุก
ธาตุอาหารหลักที่กะพ้อต้องการ
ประโยชน์ของกะพ้อ
- ปลูกเป็นไม้ประดับ
- ใบอ่อน ใช้ห่อขนมต้ม
- ใบแก่ เอามาทำเครื่องจักสาน เสื่อ พัด
- ลำต้น เอามาทำเสารั้วได้
- ยอดอ่อน โดยตัดเอาส่วนปลายหรือส่วนยอดของลำต้น ซึ่งเมื่อลอกกาบนอกจะได้เนื้อในนุ่ม นำมาต้มเป็นผักจิ้ม นำมาสับหรือหั่นเป็นฝอยสำหรับแกงเลียง แกงกะทิ เป็นต้น ยอดอ่อนที่ดิบ มีรสฝาดอมหวานเล็กน้อย
ข้อควรระวัง ยอดอ่อนที่ดิบชาวบ้านเชื่อว่าถ้ากินสดๆ จะ “เสาะท้อง” คือย่อยยากจึงนิยมนำมาต้มก่อน รับประทาน
สรรพคุณทางยาของกะพ้อ
คุณค่าทางโภชนาการของกะพ้อ
การแปรรูปของกะพ้อ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=9933&SystemType=BEDO
http://area-based.lpru.ac.th
https://www.flickr.com