การขยายพันธุ์และการปลูกพริกหยวก
พริกหยวก ชอบสภาพที่มีความชื้นต่ำ จะทำให้อัตราการติดผลลดลง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการผสมเกสรอยู่ระหว่าง 20-25’C มีความชื้นสัมพัทธ์สูง ใสสภาพอุณหภูมิต่ำกว่า 18’C หรือสูงกว่า 32’C จะจำกัดการผสมเกสร อัตราการติดผลต่ำ พริกหวานสามารถเจริญเติบโตได้ดี ในดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี และมีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.8
การเตรียมกล้า
ทำการยกแปลงขนาด 1 ม. ย่อยดินให้ละเอียด แปลงห่างกัน 70 ซม. ร่องลึกประมาณ 10 ซม. ทำขวางแปลงความห่างระหว่างร่อง 10 ซม. รองพื้นด้วยไตรโคเดอร์ม่า หว่านเมล็ดแล้วกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม หรือคลุมด้วยตาข่ายพลาสติก หลังจาก 7-10 วัน ย้ายกล้าลงในหลุม
การ เตรียมดิน ขุดดินทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ เก็บวัชพืชออกให้หมด ย่อยดิน แล้วใส่ปูนขาวคลุกเคล้าร่วมกับปุ๋ยคอก และปุ๋ยสูตร 0-4-0 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ควรใส่โดโลไมด์อัตรา 100-150 กรัม/ตร.ม.
การ ปลูก ทำแปลงกว้าง 1 ม. เว้นร่องน้ำ 70 ซม. ระยะห่างระหว่างหลุม 40-50 ซม.
การเก็บเกี่ยว
พันธุ์ สีเขียวเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตผิวเรียบ และแห้ง ใช้กรรไกรตัดตรงขั้ว พันธุ์สีแดงและเหลือง เก็บเกี่ยววิธีเดียวกับพันธุ์สีเขียว แต่เก็บเกี่ยวเมื่อผลเริ่มมีสีได้มากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์
![พริกหยวก](https://www.kasettambon.com/wp-content/uploads/2016/07/22049168638_5c7d5d859d_w-400x267.jpg)
ประโยชน์ของพริกหยวก
พริกหยวก สามารถกินได้ โดยการใส่ประกอบอาหาร ได้หลายชนิด เช่น นำมาผัด กับหมู, ไก่ หรือเนื้อ ได้ พริกหยวก ใช้ผสม น้ำผึ้ง ทาถูนวด รักษา ไขข้ออักเสบหรืออาการปวดเมื่อยได้ และยังมีสาร ทิงเจอร์แคปไซซิน ซึ่งเป็นสาร ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ได้ดี
คุณค่าทางโภชนาการของพริกหยวก
คุณค่าทางโภชนาการของพริกหยวก 100 กรัม ให้พลังงาน 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบไปด้วย
- คาร์โบไฮเดรต 6 กรัม (g)
- โปรตีน 1.5 กรัม (g)
- แคลเซียม 11 มิลลิกรัม (mg )
- ไขมัน 0.2 กรัม (g)
- เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม (mg )
- ฟอสฟอรัส 47 มิลลิกรัม (mg )
- ไบโพลาวิน 0.08 มิลลิกรัม (mg )
- ไทอะมีน 0.41 มิลลิกรัม (mg )
- ไนอะซิน 1.3 มิลลิกรัม (mg )
- วิตามินเอรวม 9
- Vitamin C 78 มิลลิกรัม (mg )
- น้ำ 91.75 กรัม (g)
พริกหวาน มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมถึงหกเหลี่ยม เนื้อหนา มีหลายสีทั้งเขียว แดง เหลือง ส้ม และสีช็อคโกแลค มีรสชาติหวาน ไม่เผ็ด สามารถรับประทานสดในสลัด หรือนำมาผัดกับผักชนิดต่างๆ ให้สีสันน่ารับประทาน มีคุณค่าทางวิตามิน A, B1, B2 และ C มีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11296&SystemType=BEDO
https://www.flickr.com
One Comment