กำลังช้างเผือก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ

กำลังช้างเผือก

ชื่ออื่นๆ : โนรา, พญาช้างเผือก (แพร่), สะเลา,กำลังช้างสาร (เหนือ), กะลังจ่าง

ต้นกำเนิด : พบตั้งแต่อินเดีย จีน จนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทุกภาค ตามป่าผลัดใบ ป่าดิบเขาและป่าชายหาด ตั้งแต่ระดับใกล้น้ำทะเลจนถึง 2,000 ม.

ชื่อสามัญ :

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hiptage benghalensis (Linn.) Kurz

ชื่อวงศ์ : MALPIGHIACEAE

ลักษณะของกำลังช้างเผือก

ต้น  ไม้กึ่งพุ่มหรือไม้เถาขนาดใหญ่ เนื้อแข็ง

ใบ  ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 3-7 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ

ดอก  ดอกสีขาวมีแต้มสีเหลืองที่ด้านใน กลิ่นหอมจางๆ ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 9-22 ซม. กลีบรองดอก 5 กลีบ มีกลีบหนึ่งจะมีต่อมนูน กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน กลีบข้างจะพับกลับ เกสรผู้ 10 อัน มี 1 อัน ยาวเป็นพิเศษ  ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน

ผล  ผลเป็นผลแห้ง สีแดง มี 3 ปี เมื่อแก่ไม่แตก

ต้นกำลังช้างเผือก
ต้นกำลังช้างเผือก ไม้เถาขนาดใหญ่ เนื้อแข็ง

การขยายพันธุ์ของกำลังช้างเผือก

ใช้กิ่ง/ลำต้น/ด้วยการปักชำ หรือเพาะเมล็ด

ธาตุอาหารหลักที่กำลังช้างเผือกต้องการ

ประโยชน์ของกำลังช้างเผือก

นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากดอกมีกลิ่นหอม

สรรพคุณทางยาของกำลังช้างเผือก

  • แก่น ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง
  • เปลือก ตำพอกรักษาแผลสด
  • ใบ แก้โรคผิวหนัง
  • ราก ต้มน้ำดื่มช่วยบำรุงกำลัง และบำรุงเลือด(คนเมือง)
ดอกกำลังช้างเผือก
ดอกกำลังช้างเผือก ดอกสีขาวมีแต้มสีเหลืองที่ด้านใน

คุณค่าทางโภชนาการของกำลังช้างเผือก

การแปรรูปของกำลังช้างเผือก

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=10511&SystemType=BEDO
https://www.flickr.com

Add a Comment