ตาเสือ
ชื่ออื่นๆ : เลาหาง (เชียงใหม่) ขมิ้นดง (ลำปาง) เซ่ (แม่ฮ่องสอน) เย็นดง (กำแพงเพชร) ตาปู่ (ปราจีนบุรี) มะยมหางก่าน (บุรีรัมย์) ตุ้มดง (กระบี่) มะหังก่าน มะฮังก่าน มะอ้า (ภาคเหนือ) โกล ตาเสือ (ภาคกลาง) แดงน้ำ (ภาคใต้) เชือย โทกาส้า พุแกทิ้ เส่ทู่เก๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน) ยมหังก่าน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)
ต้นกำเนิด : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชื่อสามัญ : ตาเสือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aphanamixis polystachya (Wall.) R.Parker
ชื่อวงศ์ : MELIACEAE
ลักษณะของตาเสือ
ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลาง อาจสูงถึง 18 เมตร ไม่ผลัดใบ เปลือกเรียบ สีชมพูอมเทา มีรากหายใจรูปคล้ายหมุด ยาว 30-50 ซม. จากผิวดิน หนาแน่นบริเวณโคนต้น ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ยาว 20-40 ซม. ขอบใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ไม่สมมาตรกัน ขนาด 3-6 x 8-17 ซม. ปลายใบแหลมถึงมน ฐานใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ผิวใบด้านบนเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อ เพศผู้เป็นแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกห้อยลง แต่ละดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3-0.4 ซม. สีเหลือง ดอกเพศเมียเป็นแบบช่อกระจะ มีดอกจำนวนน้อย วงกลีบเลี้ยงแยกเป็น 3 แฉก กลีบดอก 3 กลีบ ผล ค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 ซม. มี 3 พลู ผลแก่แห้งแตกกลางพลู เมล็ด มีเยื่ออ่อนนุ่มสีแดงหุ้ม
เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ด้านในของป่าชายเลน บริเวณน้ำกร่อยตามริมชายฝั่งของแม่น้ำที่ได้รับอิทธิพลจากการขึ้น-ลงของน้ำทะเล
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น เนื้อไม้ ผล ใบ

การขยายพันธุ์ของตาเสือ
ใช้เมล็ด
ธาตุอาหารหลักที่ตาเสือต้องการ
ประโยชน์ของตาเสือ
สรรพคุณทางยาของตาเสือ
เปลือกต้น – รสฝาด กล่อมเสมหะ ขับโลหิต
เนื้อไม้ – รสฝาด แก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย
ผล – แก้ปวดตามข้อต่างๆ ในร่างกาย
ใบ – แก้บวม
คุณค่าทางโภชนาการของตาเสือ
การแปรรูปของตาเสือ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11668&SystemType=BEDO
https://www.flickr.com