ลูกดิ่ง ฝักอ่อนบิดเป็นเกลียว เป็นพืชหายาก

ลูกดิ่ง

ชื่ออื่นๆ : ค้อนกลอง (ขอนแก่น), มะขามเฒ่า,อีเฒ่า (ปราจีนบุรี)

ต้นกำเนิด : ภาคกลาง ภาคตะวันLEGUMINOSAE -ออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของไทย
ต่างประเทศพบที่พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว
ขึ้นตามริมลำธารที่ค่อนข้างโล่งในป่าดิบแล้งบนภูเขา ระดับความสูง 100-900 เมตร

ชื่อสามัญ : ลูกดิ่ง  (พืชหายาก)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia sumatrana Miq. ssp. streptocarpa (Hance) Hopkins

ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAE – MIMOSOIDEAE

ลักษณะของลูกดิ่ง

ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เกือบเท่ากับต้นสะตอ ลำต้นสูงถึง 35 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกต้นสีขาว

ใบ ประกอบแบบขนนกสองชั้น ลักษณะเป็นช่อ ก้านช่อยาว 5.5-8 ซม. แกนช่อยาว 13-30 ซม. พบแกนช่อใบจะมีช่อใบแขนง 5-12 คู่ และในช่อใบแขนงมีใบย่อย 12-27 คู่ ใบย่อยมีรูปขอบขนานแคบๆ ยาว 10-28 มม. กว้าง 3-10.5 มม. ฐานใบไม่มีติ่งยื่นหรืออาจยื่นเล็กน้อย ปลายใบมักจะมนหรือเป็นรูปตัด เว้าเป็นแอ่งตื้นๆ ตรงกลาง

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตุ้มกลม สีเหลือง ดอกตัวผู้มีกลีบรองกลีบดอก 7 มม. ลักษณะรูปแตร หลอดเกสรตัวผู้ยาว 6-7 มม. มีอับละอองเกสร ส่วนดอกสมบูรณ์เพศมีขนาดโตกว่าดอกตัวผู้

ผล ออกเป็นฝักเช่นเดียวกับสะตอ ฝักจะบิดเวียนเล็กน้อย เมล็ดเรียงตามยาวของฝัก

ต้นลูกดิ่ง
ต้นลูกดิ่ง ไม้ต้นขนาดใหญ่
ดอกลูกดิ่ง
ดอกลูกดิ่ง เป็นตุ้มกลม สีเหลือง

การขยายพันธุ์ของลูกดิ่ง

เพาะเมล็ด

ธาตุอาหารหลักที่ลูกดิ่งต้องการ

ประโยชน์ของลูกดิ่ง

ยอดอ่อน เมล็ด รับประทานสดหรือนำมาปิ้งไฟ ลวก ต้ม รับประทานกับน้ำพริกกะปิ แกงกะทิ ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดเผ็ด ผัดใส่หมู เนื้อ กุ้ง หรือนำมาดองเหมือนสะตอ

ผลลูกดิ่ง
ผลลูกดิ่ง ผลคล้ายสะตอ จะบิดเวียนเล็กน้อย

สรรพคุณทางยาของลูกดิ่ง

คุณค่าทางโภชนาการของลูกดิ่ง

การแปรรูปของลูกดิ่ง

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11373&SystemType=BEDO
https://www.tistr.or.th
https://www.flickr.com

Add a Comment