วิธีการเพาะเลี้ยงปลาตะเพียนขาวในบ่อดิน

ปลาตะเพียน

ปลาตะเพียน หรือที่เรียกติดปากกันสั้น ๆ ว่า ปลาตะเพียน ชื่อวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Puntius gonionotus เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ทั่วไปในแถบประเทศอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยนั้น หากจะค้นไปถึงว่าปลานี้ประชาชนเริ่มรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยไหน เชื่อกันว่าปลาชนิดนี้มีอยู่คู่กับแม่น้ำ ลำคลอง ในแถบภูมิภาคส่วนนี้นานหนักหนาแล้ว นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรืออาจจะก่อนกว่านั้น เพราะมีลายของถ้วยชามเครื่องเคลือบปรากฎเป็นรูปปลาตะเพียนให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อนแต่ชื่อ “ตะเพียน” ที่ใช้เรียกขานกัน

ปลาตะเพียนขาว มีลักษณะลำตัวแบนข้าง ขอบหลังโค้งยกสูงขึ้น หัวเล็ก ปากเล็ก ริมฝีปากบาง จะงอยปากแหลม มีหนวดเส้นเล็ก ๆ 2 คู่ มีเกล็ดตามเส้นข้างตัว 29-31 เกล็ดลำตัวมีสีเงิน บริเวณส่วนหลังมีสีคล้ำส่วนท้องเป็นสีขาวนวล ปลาตะเพียนขาวซึ่งมีขนาดโตเต็มที่แล้วจะมีลำตัวยาวที่สุดเกือบ 50 ซม.ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาน้ำจืด อาศัยอยู่ทั่วไปทั้งในแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง แต่เจริญเติบโตขยายพันธุ์ได้ในแหล่งน้ำซึ่งมีความกร่อยเล็กน้อย ฉะนั้นจึงสามารถเลี้ยงให้เจริญเติบโตได้ทั้งในบ่อน้ำจืดและน้ำกร่อย อ่างเก็บน้ำ ตลอดจนในนาข้าว

ปลาตะเพียนขาว
ปลาตะเพียนขาว ตัวมีสีเงินแวววาว

ลักษณะเพศและการแพร่ขยายพันธุ์

ลักษณะภายนอกของปลาตะเพียนขาวตัวผู้ และตัวเมีย คล้ายคลึงกันมาก แต่เมื่อใกล้ฤดูผสมพันธุ์ จะสังเกตได้ง่ายขึ้น คือตัวเมียจะมีท้องอูมเป่ง พื้นท้องนิ่มและช่องเพศกว้างกว่าปกติ ส่วนตัวผู้ท้องจะแบน พื้นท้องแข็ง ถ้าเอามือลองรีดเบา ๆ ตรงบริเวณท้อง จะมีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาฤดูวางไข่ ปลาตะเพียนขาว จะวางไข่ราว ๆ ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ฝนเริ่มตก หลังจากที่ฝนตกหนักเพียง 2-3 ครั้ง ปลาก็จะวางไข่จนหมด ไข่จะฟักออกเป็นตัวภายใน 8-12 ชั่วโมง ในอุณหภูมิของน้ำประมาณ 29-30 องศาเซลเซียส แม่ปลาตะเพียนขาวตัวหนึ่ง ๆ สามารถมีไข่ได้ตั้งแต่ 50,000-100,000 ฟอง และชอบวางไข่ตามบริเวณชายฝั่งของลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงมารวมกับลำธารใหญ่ซึ่งมีสภาพเป็นโคลน ปลาตะเพียนขาวสามารถวางไข่ในบ่อเลี้ยงได้ภายในปีแรก เมื่อแม่ปลามีขนาดตัวยาว 25 ซม.

การนำปลาตะเพียนขาวมาเลี้ยงในบ่อ

  1. บ่อ บ่อเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ควรมี 3 ชนิดคือ
    – บ่อผสมพันธุ์ ควรเป็นบ่อดินขนาด 100 ตารางเมตร หรือบ่อซีเมนต์ขนาด 10 ตารางเมตร มีน้ำถ่ายเทเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา
    – บ่ออนุบาล ควรเป็นบ่อดินที่เตรียมไว้สะอาดแล้ว ขนาด 200-400 ตารางเมตร ความลึกของบ่อประมาณ 1.5 เมตร มีการถ่ายเทน้ำได้พอสมควร ใช้เลี้ยงลูกปลาตะเพียนขาว ซึ่งมีอายุได้ประมาณ 15 วัน จนลูกปลามีขนาดความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร ระยะอนุบาลลูกปลาดังกล่าวนี้ควรปล่อยลูกปลาในอัตรา 15 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร หรือประมาณ 25,000 ตัวต่อไร่
    – บ่อเลี้ยง ควรเป็นบ่อดินซึ่งมีขนาด 400 ตารางเมตรขึ้นไปจนถึงขนาด 1 ไร่ หรือมากกว่านั้น ความลึกของน้ำในบ่อควรให้เกินกว่า 1 เมตรขึ้นไป ใช้เลี้ยงลูกปลาที่มีขนาดความยาว 5-7 เซนติเมตร หากปลาที่ปล่อยลงเลี้ยงมีขนาดโตกว่านั้นควรปล่อยในอัตรา 2-3 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร
  2. การเตรียมบ่อ
    – บ่อใหม่ หากเป็นบ่อที่ขุดใหม่ ดินมักจะเป็นกรด ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อ ในอัตรา 1 กิโลเมตร ต่อเนื้อที่ 10 ตารางเมตร
    – บ่อเก่า จำเป็นต้องปรับปรุงบ่อ โดยกำจัดวัชพืชออกให้หมด เช่น ผักตบชวา จอก บัว และหญ้าต่าง ๆ เพราะวัชพืชเหล่านี้จะปกคลุมผิวน้ำเป็นอุปสรรคต่อการหมุนเวียนของอากาศ และเป็นที่อยู่อาศัยของศัตรูได้ คันบ่อควรลอกเลนขึ้นมาตกแต่ง และทำท่อระบายน้ำให้เรียบร้อย ตากบ่อนั้นทิ้งไว้จนแห้ง แสงแดดจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยให้คุณภาพของดินในบริเวณบ่อมีคุณสมบัติดีขึ้นก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยง ต้องกำจัดศัตรูของปลาตะเพียน ได้แก่ พวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโดปลาดุก กบ เขียด และงู ฯลฯ โดยการระบายน้ำออกจากบ่อให้แห้งขอดแล้วจับขึ้นให้หมด ในกรณีที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้ ควรใช้โล่ติ๊นสด 1 กิโลกรัม ต่อปริมาณน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร วิธีใช้คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด นำลงแช่น้ำสัก 1 หรือ 2 ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้สีขาวออกมาหลาย ๆ ครั้งจนหมด แล้วนำไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาดังกล่าวก็จะตายลอยขึ้นมา ต้องเก็บออกทิ้งอย่าปล่อยให้เน่าอยู่ในบ่อเพราะจะทำให้น้ำเสียได้ ก่อนที่จะปล่อยปลาลงเลี้ยง ควรทิ้งระยะไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัว
    – การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งได้แก่ปุ๋ยคอกที่ตากแห้งแล้ว หรือปุ๋ยหมัก อัตราการใส่ปุ๋ยประมาณ 50-200 กิโลกรัมต่อไร่ ระยะแรกนั้นควรใส่ปุ๋ยในขณะที่ตากบ่อก่อนระบายน้ำเข้า ระยะหลัง ๆ ควรใส่ในอัตราครั้งละครึ่งหนึ่งของระยะแรก จนกระทั่งน้ำมีสีเขียว ลักษณะเช่นนี้แสดงว่ามีอาหารธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ อาจหาซื้อได้ในรูปที่ผสมเสร็จแล้ว โดยมีอัตราส่วนของฟอสฟอรัสสูงกว่าส่วนผสมอื่น และใช้ในอัตรา 4 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน
บ่อเลี้ยงปลา
การเตรียมบ่อเลี้ยงปลา

การเตรียมการผสมพันธุ์ปลาตะเพียนขาว

  1. การคัดเลือกพ่อแม่ปลา ปลาที่มีลักษณะพร้อมที่จะทำการขยายพันธุ์ได้ จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
    – ปลาตัวผู้ เป็นปลาที่มีลักษณะสมบูรณ์ ไม่ช้ำ ไม่มีบาดแผลตามตัว เมื่อเอามือบีบตรงบริเวณท้องเบา ๆ จะมีน้ำเชื้อสีขาวข้นไหลออกมา
    – ปลาตัวเมีย เป็นปลาที่มีลักษณะท้องอูม บริเวณส่วนท้องจะมีขนาดกว้างกว่าปลาตัวผู้ เมื่อเอามือจับจะรู้สึกนิ่ม หากมองจากด้านหลังของตัวปลา จะเห็นท้องยื่นออกมาทางด้านข้างทั้งสองด้าน ช่องเพศมีสีแดงเรื่อ ๆ หรือสีแดงเข้ม
  2. การเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะขยายพันธุ์ปลาตะเพียนขาว มีดังต่อไปนี้
    – กรงลวดตาข่ายขนาด 50x120x70 ซม. ใช้สำหรับขังพ่อแม่ปลา เพื่อให้ผสมพันธุ์ในกรงนี้
    – กระชังผ้าขาวไนลอนแก้ว กว้าง 100 ซม. ยาว 120 ซม. และลึก 90 ซม. ใช้สำหรับรองรับไข่ที่ผ่านจากกรงลวดตาข่าย
    – กระชังไม้เนื้อแข็งหรือไม่ไผ่ กว้าง 2 ม. ยาว 4 ม. ลึก 1.5 ม.
    – สวิงใช้สำหรับจับปลา

บ่อผสมพันธุ์ปลา

บ่อดินขนาดตั้งแต่ 100 ตารางเมตร หรือบ่อซีเมนต์ขนาด 10 ตารางเมตร ถ้ามีน้ำถ่ายเทเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลาก็จะดี นำกรงลวดไปลอยไว้ในน้ำ ให้กรงอยู่เหนือผิวน้ำ ประมาณ 20 ซม. กรงลวดนี้ลอยน้ำอยู่ในกระชังผ้าไนลอนแก้ว ก้นของกรงลวดอยู่เหนือก้นกระชังประมาณ 20 ซม. ทั้งกรงลวดและกระชังผ้าในลอนแก้วนี้จะอยู่ในกระชังไม้ ซึ่งมีขนาดตากระชังห่างประมาณ 1 ซม. เพื่อกันมิให้ปลาปักเป้าหรือปูมาทำลายกระชังผ้าไนลอนแก้ว ซึ่งหุ้มไข่ปลาอยู่

วิธีการเพาะขยายพันธุ์

หลังจากคัดเลือกพ่อ-แม่ปลาได้แล้ว นำพ่อ-แม่ปลาไปปล่อยไว้ในกรงลวด ในอัตราตัวเมีย 1 ตัว ต่อตัวผู้ 2 ตัว หรือตัวเมีย 3 ตัวต่อตัวผู้ 5 ตัว กรงลวดแต่ละกรงนั้นควรปล่อยแม่ปลาประมาณ 5-10 ตัว การเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาว ต้องทำในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนมิถุนายนเพราะเป็นช่วงฤดูวางไข่ผสมพันธุ์ของปลาตะเพียนขาวเมื่อพ่อ-แม่ปลาเริ่มรัดหรือผสมพันธุ์กันแล้ว ประมาณ 2 ชั่วโมงแม่ปลาก็จะออกไข่หมด เมื่อยก กรงลวดออกจากกระชังผ้าไนลอนแก้ว (พ่อ-แม่ปลาติดออกมาด้วย) จะพบว่ามีไข่ปลาจมอยู่ที่ก้นกระชังผ้าเป็นจำนวนมาก ควรแยกไข่ปลาไปฟักในกระชังผ้าใบอื่น เพื่อไม่ให้ไข่ทับถมกันจนแน่นเกินไป ไข่ปลาจะฟักออกเป็นตัวภายในเวลา8-12 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำและอากาศ ถ้าอุณหภูมิสูง จะทำให้ไข่ฟักออกเป็นตัวเร็วกว่าอุณหภูมิต่ำ ถ้าหากไม่สามารถหากรงลวดและกระชังไนลอนได้ เราก็สามารถเพาะขยายพันธุ์ปลาตะเพียนขาวในบ่อผสมพันธุ์ได้เลย (บ่อดินขนาด 100 ตารางเมตร บ่อซีเมนต์ 10 ตารางเมตร) ถ้าเป็นบ่อซีเมนต์ 10 ตารางเมตร ใช้พ่อ-แม่ปลาในอัตราส่วน ตัวเมีย 3 ตัว ต่อตัวผู้ 5 ตัว เตรียมบ่อเพาะขยายพันธุ์โดยการเปลี่ยนน้ำใหม่ประมาณครึ่งบ่อ การปล่อยพ่อแม่ปลาที่คัดไว้แล้วลงในบ่อ ควรปล่อยในตอนเย็น หลังจากนั้นก็ปล่อยน้ำให้ไหลลงบ่อตลอดเวลา พ่อ-แม่ปลาจะเริ่มผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลาประมาณ 04.00-05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ในขณะที่ปลาตะเพียนกำลังผสมพันธุ์และวางไข่นั้น ปลาจะส่งเสียงร้องอุด ๆ ตลอดเวลาและจะไล่เคล้าเคลียกันเป็นฝูงในวันรุ่งขึ้น ต้องจับพ่อ-แม่ปลาขึ้นจากบ่อ ทิ้งให้ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วฟักเป็นตัวภายในบ่อ และเมื่อลูกปลามีอายุได้ประมาณ 15 วัน ต้องนำลูกปลาไปเลี้ยงในบ่ออนุบาลต่อไป (วิธีนี้เราจะได้ลูกปลาจำนวนไม่แน่นอน คืออัตราการอดของลูกปลามีน้อย) การอนุบาลลูกปลาตะเพียนในกระชังผ้าไนลอนแก้ว ในระยะแรกประมาณ 3-5 วันนั้น นับว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะสามารถดูแลได้ใกล้ชิดกว่าปล่อยไว้ในบ่อดิน เพราะถ้าผู้เลี้ยงไม่สามารถดูแลปลาได้ใกล้ชิดแล้วจะไม่รู้ว่าลูกปลาที่กำลังอนุบาลอยู่นั้นเหลือน้อยเพียงใด อีกประการหนึ่งการอนุบาลลูกปลาในกระชังผ้าดังกล่าว สามารถมองเห็นลูกปลาได้ถนัดตั้งแต่ผิวน้ำจนถึงบริเวณก้นกระชัง ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าลูกปลาตายมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะหาวิธีแก้ไขได้สะดวก ทั้งยังสามารถคะเนปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละครั้งได้ด้วย ว่ามีประมาณมากน้อยเพียงพอหรือไม่เพียงใด

การอนุบาลลูกปลา

  1. ลูกปลาที่ฟักออกมาเป็นตัวในระยะแรกจะมีถึงไข่ติดอยู่ ไม่ต้องให้อาหาร
  2. ลูกปลาซึ่งมีอายุระหว่าง 3-5 วัน ควรให้อาหารพวกไข่ต้มเอาเฉพาะไข่แดงมาละลายน้ำให้ลูกปลากินเป็นอาหาร วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน และเย็น
  3. หลังจากนั้นแล้ว ควรนำไปเลี้ยงในบ่ออนุบาล ขนาด 200-400 ตารางเมตร หรือบ่อที่มีน้ำที่มากกว่านี้ก็ได้หากต้องการทำเป็นการค้าน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรบ่ออนุบาล ดังกล่าวนี้ใช้เลี้ยงลูกปลาวัยอ่อนจนโตขนาดลำตัวยาว 5-7 เซนติเมตรอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกปลาระยะนี้ ประกอบด้วย ปลาป่น กากถั่ว รำ ในอัตราส่วน ปลาป่น 1 ส่วน กากถั่ว 1 ส่วน และรำ 2 ส่วน การให้อาหารควรใช้วิธีโรยให้ทั่วบ่อ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ในระยะแรก ๆ ของการปล่อยลูกปลาจะไม่เห็นลูกปลาขึ้นมากิน แต่หลังจากปล่อยไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกปลาจะโตขึ้นจนเห็นได้ชัด ขณะที่ลอยตัวขึ้นมากินอาหารที่โรยไว้เมื่อลูกปลามีขนาดความยาวประมาณ 5-7 ซม. ต้องย้ายลูกปลาเหล่านี้ลงเลี้ยงในบ่อเลี้ยง (บ่อดินขนาด 400 ตารางเมตรขึ้นไปจนถึงขนาด 1 ไร่) ปล่อยในอัตรา 2-3 ตัวต่อหนึ่งตารางเมตร 1

การเลี้ยงปลาใหญ่

ปลาที่จะเลี้ยงจนโตได้ขนาดตามที่ต้องการ นอกจากใช้อาหารธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในบ่อ ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องให้อาหารสมทบเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเร่งให้ปลามีอัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้น อาหารสมทบดังกล่าวได้แก่

  • แหนเป็ดและไข่น้ำ (ไข่น้ำเป็นพืชที่เกิดขึ้นลอยอยู่บนผิวน้ำปะปนกับพวกจอกแหน มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ ขนาดเท่า ๆ กับสาคู เม็ดเล็กที่ยังไม่แช่น้ำ มีสีค่อนไปทางเขียวอ่อน ชาวอีสานเรียกว่า “ผัม”) ใช้โปรยให้กินสด ๆ
  • เศษผัก ผักบุ้ง ผักกาดขาว และเศษผักต่าง ๆ โดยวิธีต้มให้เปื่อยผสมกับรำหรือปลายข้าวที่ต้มสุก
  • กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง ใช้แขวนหรือใส่กระบะไม้ไว้ในบ่อ
  • ส่วนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรือสัตว์ที่มีชีวิต เช่น ตัวไหม ปลวก ไส้เดือน หนอน มด ฯลฯ ใช้โปรยให้กิน พวกเครื่องในและเลือดของสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู วัว ควาย ใช้บดผสมคลุกเคล้ารำและปลายข้าวซึ่งต้มสุกแล้ว นำไปใส่ไว้ในกระบะไม้ในบ่อการให้อาหาร ให้วันละครั้ง ในตอนเช้าหรือตอนเย็น ครั้งละประมาณ 5% ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง ถ้าให้มากเกินไป เศษอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย

การเจริญเติบโต

ลูกปลาจะเจริญเติบโตไม่เท่ากัน จำเป็นต้องคัดปลาที่มีขนาดไล่เลี่ยเลี้ยงในบ่อเดียวกัน เพราะถ้าเลี้ยงรวมกัน จะทำให้ลูกปลาที่เล็กกว่าเติบโตได้ไม่เท่าที่ควร และเมื่อปลามีขนาดโตขึ้น ต้องแบ่งไปเลี้ยงบ่ออื่นอย่าปล่อยให้อยู่แน่นเกินไป เพราะปลาจะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ปลาตะเพียนขาวซึ่งใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 6 เดือนนั้น จะมีน้ำหนักประมาณ 3-4 ตัว ต่อ 1 กิโลกรัม ศัตรูและโรคพยาธิ ศัตรูของปลาตะเพียนขาว ได้แก่ พวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาดุก พวกกบ เขียด งู ฯลฯ

การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ต้องคอยระวังอย่าให้ปลาในบ่อมีปริมาณแน่นจนเกินไปหรือไม่ได้มีการถ่ายเทน้ำ เพราะจะทำให้เกิดเห็บปลาและหนอนสมอ อันเป็นพยาธิของปลา ซึ่งจะเกาะอยู่ตามกระพุ้งแก้มและตามลำตัวของปลา และอาจเป็นโรคอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากเชื้อรา เชื้อบัคเตรี จะทำให้ปลาไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร หรืออาจถึงตายได้ ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ การลักขโมยซึ่งมีวิธีการหลายอย่าง เช่น ใช้ข่าย แห เบ็ด ลอบ ทำให้นักเลี้ยงปลาประสบการขาดทุนมามากรายแล้วผู้เลี้ยงควรติดตามแก้ไขอย่างใกล้ชิดด้วย

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : https://www.fisheries.go.th
ภาพประกอบ : http://local-integration.rmu.ac.th, https://th.wikipedia.org

Add a Comment