ส้มแขก
ชื่ออื่นๆ : ชะมวงช้าง ส้มควาย (ตรัง) อาแซกะลูโก (ยะลา) ส้มพะงุน (ปัตตานี) ส้มมะอ้น ส้มมะวน มะขามแขก (ภาคใต้)
ต้นกำเนิด : –
ชื่อสามัญ : ส้มแขก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia atroviridis Griff. Ex T. Anderson
ชื่อวงศ์ : GUTTIFERAE
ส้มแขก เป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับมังคุด ชะมวง มะดัน เป็นต้น เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่มขนาดกลาง ส้มแขกมีประโยชน์และสรรพคุณในด้านใดบ้างมาดูกันเลยค่ะ

ประโยชน์ของส้มแขก
- ผลส้มแขกมีรสเปรี้ยว นิยมนำมาปรุงอาหารที่ต้องการรสเปรี้ยว เช่น แกงส้ม แกงเลียง ต้มเนื้อ ต้มปลา หรือใช้เป็นส่วนผสมของการทำน้ำยาขนมจีน
- ใบอ่อนส้มแขกใช้รองก้นภาชนะนึ่งปลา จะช่วยดับคาวเนื้อปลา
- ผลดิบเมื่อโตเต็มที่นำมาตากแห้ง แล้วนำไปต้มเคี่ยวในน้ำเชื่อม รับประทานเป็นของหวาน
- ผลแห้งเป็นตัวช่วยให้สีย้อมติดวัสดุที่ย้อมได้แน่นทนทาน
- นำใบแก่ของส้มแขกมาผสมกับยางพาราที่กรีดได้ เพื่อทำปฏิกิริยาให้น้ำยางพาราแข็งตัวเร็วขึ้น โดยใช้ใบแก่จำนวน 2 กิโลกรัมหมักกับน้ำ 10 ลิตรทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วนำมาผสมกับยางพารา
- เนื้อไม้ของต้นส้มแขกที่อายุเกิน 30 ปีขึ้นไป นำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือทำเป็นไม้แปรรูปใช้ในการก่อสร้างได้

สรรพคุณทางยาของส้มแขก
- เนื้อผลของส้มแขกทำเป็นเครื่องดื่มลดความอ้วน ในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น แบบผง แบบเม็ด ชาส้มแขก ส้มแขกแคปซูล เมื่อรับประทานในระยะแรกอาจจะทำให้รู้สึกหิวบ่อยมากขึ้น เนื่องจากไปเร่งระบบการเผาผลาญอาหาร โดยร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัวไปเอง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ช่วงนี้ก็ให้ดื่มน้ำมากขึ้น เมื่อรับประทานต่อเนื่องไปก็จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกไม่หิว และเมื่อหยุดรับประทานผลิตภัณฑ์ส้มแขก ร่างกายจึงไม่กลับมาอ้วนอีก ที่สำคัญคือการลดความอ้วนด้วยส้มแขกจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประเมินผลและพบว่า ไม่มีการเปลี่ยนหน้าที่ของตับและไต รวมไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดและความดันเลือดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
- ช่วยแก้อาการไอ ใช้เป็นยาขับเสมหะ
- ผลแก่หรือดอกนำมาใช้ทำเป็นชาลดความดันได้
- ผลทำเป็นยาบรรเทาอาการปวดท้องในสตรีมีครรภ์
- ผลเป็นยาระบายอ่อน ๆ
- ใบสดน้ำมารับประทานช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาขับปัสสาวะ
- รากใช้ทำเป็นยารักษานิ่ว
- สารสกัดจากส้มแขกช่วยทำให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวตัวได้เร็วขึ้นและขับไขมันออกมา
- ดอกตัวผู้แห้งต้มกับน้ำ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
ข้อควรระวังการใช้ส้มแขก
ส้มแขก มีสารสำคัญที่เป็นกรดมีชื่อว่า ไฮดรอกซี่ซิตริกแอสิด(Hydroxycitric Acid หรือ “HCA”) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์ ในกระบวนการสร้างไขมันจากการบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง นอกจากนี้ยังมีกรดอินทรีย์อื่น ๆ อีก เช่น กรดซิตริก (Citric Acid) กรดโดคีคาโนอิค (Dodecanoic Acid) กรดออกตาดีคาโนอิค (Octadecanoic acid) และกรดเพนตาดีคาโนอิค (Pentadecanoic acid)
ผลิตภัณฑ์สารสกัดส้มแขกที่มีปริมาณ HCA สูง ไม่ควรใช้กับสตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร เพราะสารชนิดนี้จะไปรบกวนการสร้าง Fatty Acid, Acetyl coenzyme A รวมไปถึง Cholesterol ซึ่งอาจส่งผลต่อการสร้าง Steroid Hormone ได้นั่นเอง และสำหรับบุคคลทั่วไปการรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจมีอาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารได้
ในปัจจุบันส้มแขกได้มีการนำไปสกัดทำเป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน หลายรูปแบบ เช่น แบบผง แบบเม็ด ชาส้มแขก ส้มแขกแคปซูล โดยจะมีขนาดตั้งแต่ 300-600 มิลลิกรัม และจะมีเนื้อส้มแขกประมาณ 250-500 มิลลิกรัม และมีปริมาณ HCA ประมาณ 60-70% โดยจะแตกต่างกับส้มแขกบดแห้งบรรจุแคปซูลธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการสกัด ซึ่งจะมีปริมาณของ HCA เพียง 30% เท่านั้น โดยวิธีการรับประทาน สารสกัดส้มแขก ให้รับประทานก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงครั้งละ 1 แคปซูล
จึงมีคำเตือนให้ระวังในการบริโภคดังนี้
- สารสกัดจากส้มแขกมีความเป็นกรด หากรับประทานมาก หรือไม่รับประทานอาหารตามสลากยา จะทำให้เกิดการระคายเคือง ในกระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องได้
- HCA อาจมีผล กระทบต่อการสร้าง acetylcholine ในสมอง และในคนซึมเศร้า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โรคความจำเสื่อมไม่ควรรับประทาน
- เนื่องจากสาร HCA มีผลรบกวนการสร้าง acetyl CaA, fatty acid รวมทั้ง cholesterol จึงอาจมีผลรบกวนต่อการสร้าง steroid hormone ได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ HCA หรือผลิตภัณฑ์ส้มแขกที่มี HCA ในปริมาณสูงในเด็ก และสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่ให้นมบุตร
เรียบเรียงข้อมูลโดย : เกษตรตำบล.คอม
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=10790&SystemType=BEDO
http:// identity.bsru.ac.th