กะทกรก
กะทกรก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passiflora foetida L. มีชื่อเรียกอื่นว่า อัรกช้าง (ระนอง) หญ้ารกช้าง (พังงา) รุ้งนก (เพชรบูรณ์) ผักบ่วง (สกลนคร) ยันฮ้าง (อุบลฯ) ผักขี้ริ้ว ห่อทอง ตำลึงทอง ตำลึงฝรั่ง (ชลบุรี) เถาเงาะ เถาสิงห์โต (ชัยนาท) เงาะป่า (กาญจนบุรี) เป็นไม้เถาเลื้อยคล้ายตำลึง เถาค่อนข้างคดไปงอมา เถามีหนามเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ห่าง ๆ โดยทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว รูปใบมนโค้งผิวเรียบปลายใบแหลมโดยแยกเป็นสามแฉก ใบและเส้นใบบริเวณที่ติดต่อกันมีสีแดงเรื่อ มีขนอ่อนเป็นฝอยขนาดเล็ก ดอกบานออกกลมกว้าง กลีบดอกสีขาวแซมด้วยริ้วสีม่วง ผลอ่อนสีเขียว สุกแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม และห่อหุ้มด้วย “รก”
ประโยชน์ของกะทกรก
- ยอดอ่อน ผลอ่อน ผลสุก ผลแก่ รวมทั้งรกหุ้ม สามารถใช้รับประทานเป็นผักสด หรือนำมาต้มหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก และแกงเลียง, ผลสามารถนำมาปั่นเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มได้
- ในด้านทางการเกษตร เนื่องจากต้นกะทกรกมีสารพิษชื่อว่า Cyanpgenetic glycosides ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นยาฆ่าและป้องกันแมลงศัตรูพืชได้ โดยเฉพาะตัวด้วงถั่วเขียว ซึ่งสารพิษดังกล่าวจะไปยับยั้งการเกิดเป็นตัว
- ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินและทำปุ๋ยหมักได้ เนื่องจากต้นกะทกรกมีกลิ่นเหม็นเขียว จึงช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ามาทำลายได้
คำแนะนำ
- ทั้งต้นสดมีรสเบื่อเมาและเป็นพิษ หากนำมากินอาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่พิษจะสลายไปเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นจึงต้องนำไปต้มให้สุกก่อนนำมาใช้
- ผลอ่อนมีพิษ เนื่องจากมีสารไซยาโนจีนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenetic glucoside) เปลือกผล เมล็ด และใบมีสารที่ไม่คงตัว เมื่อสารดังกล่าวสลายตัวจะทำให้ Acetone และ Hydrocyanic acid (สารชนิดหลังเป็นพิษ) ทำให้เม็ดเลือดแดงขาดออกซิเจน ทำให้เกิดอาการอาเจียน
สรรพคุณทางยาของกะทกรก
- เปลือกใช้เป็นยาชูกำลัง (เปลือก)
- เนื้อไม้ใช้เป็นยาควบคุมธาตุในร่างกาย (เนื้อไม้) ส่วนเถาใช้เป็นยาธาตุ (เถา)
- รากสดหรือรากตากแห้งใช้ชงกับน้ำดื่มเป็นชา จะช่วยทำให้สดชื่น (ราก)
- ผลดิบมีรสเมาเบื่อ ส่วนผลสุกมีรสหวานเย็น ช่วยบำรุงปอด (ผล)
- ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ (ทั้งต้น)
- ช่วยถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิด (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้ความดันโลหิตสูง (ราก)
- แพทย์ชาวเวียดนามใช้ใบเป็นสงบระงับ ระงับความเครียดและความวิตกกังวล ด้วยการใช้ใบแห้งประมาณ 10-15 กรัม (ต่อวัน) นำมาต้มกับน้ำกิน (ใบ)
- ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ใบนำมาตำใช้พอกหรือประคบที่ศีรษะ (ใบ)
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น (ราก)
- ใบใช้ตำพอกศีรษะ ช่วยแก้อาการหวัด คัดจมูก (ใบ)
- ช่วยแก้อาการไอ (ใบ, ดอก, ต้น, ทั้งต้น)
- ช่วยขับเสมหะ (ใบ, ต้น, ทั้งต้น)
- เมล็ดใช้แก้เด็กที่มีอาการท้องอืดเฟ้อ ช่วยทำให้ผายลม ด้วยการนำเมล็ดมาตำให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำส้มและรมควันให้อุ่น แล้วเอาไปทาท้องเด็ก (เมล็ด)
- ใบนำมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยาเบื่อและยาขับพยาธิ (ใบ)
- ดอก ใบ และทั้งต้นมีรสเบื่อเมา ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ใบ, ดอก, ต้น, ทั้งต้น)
- เถาและรากสดใช้ต้มเป็นยาแก้ปัสสาวะขุ่นข้น (ราก)
- ช่วยแก้กามโรค (ราก)
- ช่วยรักษาบาดแผล (เนื้อไม้, ใบ, ผล) และเถาใช้เป็นยาพอกรักษาแผล (เถา)
- ใบใช้ตำพอกฆ่าเชื้อบาดแผล (ใบ)
- เปลือกใช้ตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว ช่วยแก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก (เปลือก)
- เปลือกช่วยทำให้แผลเน่าเปื่อยแห้ง (เปลือก)
- ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำพอสมควร นำมาทาวันละ 3 – 4 ครั้ง เพื่อใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้อาการคัน แก้หิด แก้หืด (ใบ)
- ช่วยแก้อาการปวด (ผล)
- ช่วยแก้อาการบวม (ใบ, ต้น, ทั้งต้น), แก้อาการบวมที่ไม่รู้สาเหตุ (ทั้งต้น)
- ช่วยแก้อาการเหน็บชา โดยนำมาสับตากแดด แล้วนำมาต้มกิน (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
- ใบนำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำใช้พอกรักษาสิว (ใบ)
- ยาบำรุงหัวใจ (ทั้งต้น) แก้โรคเหน็บชา โดยสับตากแดดแล้วต้มกิน ใช้หนึ่งกำมือ/น้ำ 3 แก้ว ต้มในเหลือ 2 แก้ว ยาถ่ายพยาธิใช้ตำบีบเอาน้ำคั้นมาดื่ม
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11768&SystemType=BEDO
http:// rspg.svc.ac.th
https://www.flickr.com