จิกเขา
ชื่ออื่นๆ : จิกน้ำ, กระโดนทุ่ง, กระโดนน้ำ, กระโดนสร้อย, จิ๊ก, ปุยสาย, ตอง, ลำไพ่
ต้นกำเนิด : ประเทศไทยและเพื่อนบ้านใกล้เคียงตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงเกาะชวาของอินโดนีเซีย
ชื่อสามัญ : Indian oak
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barringtonia acutangula (L.)
ชื่อวงศ์ : BARRINGTONIACEAE
ลักษณะของจิกเขา
ลำต้น เป็นไม้ต้นผลัดใบ ลำต้น เป็นปุ่มปมและเป็นพู ผลัดใบ ชอบขึ้นริมน้ำ
ใบ เป็นเดี่ยว ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ผิวใบมัน ใบออกสลับถี่ตามปลายยอด รูปใบยาวเหมือนรูปใบหอก หรือรูปไข่กลับ ใบยาว 30 เซนติเมตร ขอบใบจักถี่ ก้นใบสีแดง สั้นมาก
ดอก ออกเป็นช่อ สีแดงห้อยลง บานจากโคนลงไปทางปลาย ช่อดอกยาว 30-40 เซนติเมตร กลีบเลี้ยง 4 กลีบ และจะคงติดอยู่จนเป็นผล เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก มีสีชมพูถึงสีแดง
ผล ลักษณะเป็นฝักกลมยาว 30-50 เซนติเมตร ส่วนหัวและท้ายเรียวเล็ก สีเขียวอ่อนและสีเขียวเข้ม ใช้รับประทานเป็นอาหารได้
เมล็ด ลักษณะยาวรีเป็นเหลี่ยม มีสันตามยาวของผล 4 สัน ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่
การขยายพันธุ์ของจิกเขา
ใช้เมล็ด/การขยายพันธ์โดยการเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่ง
ธาตุอาหารหลักที่จิกเขาต้องการ
ประโยชน์ของจิกเขา
- อาศัยร่มเงา ปลูกเป็นไม้ประดับ
- ผลใช้รับประทานกันทั่วๆไป
ดอกจิกทั้งหมดนี้ จะบานหลังพระอาทิตย์ตก พอรุ่งเช้า ก็ร่วง รักดอกจิก หรือ ดอกกระโดน ก็ต้องรอดู ตกค่ำ ต้องนั่งเฝ้ากันใต้ต้น ถ้าตื่นสายนะ อดดูของสวยงาม
สรรพคุณทางยาของจิกเขา
- ราก รสขม แก้หวัด ขับเสมหะ
- เปลือก ร้อนเมา สมานแผล แก้ไข้ ปวดท้อง
- เนื้อไม้ รสขื่น ขับระดูขาว
- ใบ รสฝาดมัน แก้ท้องร่วง
- เมล็ด รสร้อน แก้จุกเสียด
คุณค่าทางโภชนาการของจิกเขา
การแปรรูปของจิกเขา
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=10740&SystemType=BEDO
https://www.flickr.com