ดอกนางแลว
ชื่ออื่นๆ : นางแลว, ลิงลาว (ภาคกลาง) ลีลาว (ภาคอีสาน) ดีกั้ง, ดีปลากั้ง (เลย) ดอกเอี้ยงแลว (แพร่) นางแลว (เชียงใหม)
ต้นกำเนิด : พบในป่าธรรมชาติตามผาหิน ริมห้วย ในชุมชนพบว่ามีการนำจากธรรมชาติมาปลูกรอบบ้าน หรือใต้ร่มไม้ในป่าเมี่ยง
ชื่อสามัญ : Nang Laew
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aspidistra sutepensis K.Larsen
ชื่อวงศ์ : CONVALLARIACEAE
ลักษณะของดอกนางแลว
ลําต้น เป็นลําต้นใต้ดินลักษณะเป็นแง่งหรือเหง้าทอดไปในดิน ลําต้นอ่อนเห็นข้อปล้องชัดมีสีขาว ลําต้นแก่มีข้อปล้องสั้นสีน้ำตาลอ่อนขนาดของลําต้นลําต้นแตกเป็นกอ
ราก เป็นระบบรากฝอยมีขนาดใหญ่ รากแตกแขนงออกจากลําต้นใต้ดิน
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอกปลายใบแหลม ฐานใบแหลม ขอบใบเรียบก้านใบยาว ยาวประมาณ 18-40 ซม. ใบกว้าง 4.5-6.7 ซม. ใบยาว 23.5-28.5 ซม. ใบสีเขียวด้านหน้า ใบสีเขียวมัน หลังใบสากเล็กน้อย มีเส้นใบขนานตามความยาวของใบ
ดอก ออกดอกเป็นดอกช่อ มีลักษณะคล้ายช่อกล้วยไม้ขนาดเล็กและงอกออกมาจากโคนต้นกอหนึ่งจะออกหลายช่อ ก้านดอกสีขาวดอกย่อยสีขาวหรือสีขาวปนม่วงมีกลีบดอก 6 กลีบ มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ภายในดอกเดียวกันจะแทงช่อดอกจํานวนมากในเดือน สิงหาคม-ตุลาคม
การขยายพันธุ์ของดอกนางแลว
การแยกหน่อ, แยกกอ, เพาะเมล็ด
ธาตุอาหารหลักที่ดอกนางแลวต้องการ
ประโยชน์ของดอกนางแลว
- ดอกมีรสหวานปนขม นำไปลวกหรือต้มเป็นผักจิ้มรับประทานกับน้ำพริกหรือนําไปปรุงร่วมกับผักหลายชนิด เป็นแกงแค
- สามารถนํามาปลูกในกระถางเป็นไม้ประดับได้
สรรพคุณทางยาของดอกนางแลว
- ดอกของลิงลาวมีสาร Antioxidants มีฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง บางพื้นที่นำรากมาต้มดื่มแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ราก รสขมเผื่อน ต้มรัปประทาน
คุณค่าทางโภชนาการของดอกนางแลว
การแปรรูปของดอกนางแลว
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=10062&SystemType=BEDO
https://www.gotoknow.org