ดอกแก้ว
ชื่ออื่นๆ : แก้ว, แก้วขาว (ภาคกลาง), แก้วขี้ไก่ (ยะลา), แก้วพริก, ตะไหลแก้ว (ภาคเหนือ)
ต้นกำเนิด : จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินเดีย และภูมิภาคอินโดจีน
ชื่อสามัญ : ดอกแก้ว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Murraya paniculata (L.) Jack
ชื่อวงศ์ : Rutaceae
ลักษณะของดอกแก้ว
ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตรเปลือกลำต้นสีขาวปนเทาลำต้นแตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องตามยาวการแตกกิ่งก้านของทรงพุ่มไม่ค่อยเป็นระเบียบ
ใบ ใบออกเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบใบเป็นมันสีเขียวเข้มขยี้ดูจะมีกลิ่นฉุนแรงขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยขนาดของใบกว้างประมาณ 2 – 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ3-6 เซนติเมตร
ดอก ออกดอกเป็นช่อใหญ่ช่อสั้นออกตามปลายกิ่งหรือยอดช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 5 – 10 ดอก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร
ผล ผลรูปไข่ รีปลายทู่ มีสีส้ม ภายในมีเมล็ด 1 – 2 เมล็ด
การขยายพันธุ์ของดอกแก้ว
ใช้กิ่ง/ลำต้น/โดยการตอนกิ่ง
ธาตุอาหารหลักที่ดอกแก้วต้องการ
ประโยชน์ของดอกแก้ว
- ผลสุก – รับประทานเป็นอาหารได้
- ปลูกประดับบ้าน เพื่อให้มีกลิ่นหอม
- เนื้อไม้ที่แปรรูปใหม่สีเหลืองอ่อน พอนานเข้ากลายเป็นสีเหลืองแกมเทา เสี้ยนอาจตรงหรือสน มักมีลายพื้นหรือลายกาบในบางต้น เนื้อละเอียดสม่ำเสมอเป็นมันเลื่อย ผ่า ไส ขัด ตบแต่งได้ดี
- ใช้ทำเครื่องเรือนเครื่องกลึง ด้ามเครื่องมือ ไม้บรรทัด ด้ามปากกา มีลายสวยงาม กรอบรูป ภาชนะ ซอ ด้ามเครื่องมือต่างๆ
สรรพคุณทางยาของดอกแก้ว
- ก้านและใบ – รสเผ็ด สุขุม ขม ใช้เป็นยาชาระงับปวด แก้ผื่นคันที่เกิดขึ้นจากความชื้น แก้แผลเจ็บปวด เกิดจากการกระทบกระแทก ต้มอมบ้วนปาก แก้ปวดฟันโดยใช้ใบสดตำพอแหลกแช่เหล้าโรง ในอัตราส่วน 15 ใบย่อยหรือ 1 กรัมต่อเหล้าโรง 1 ช้อนชา หรือ 5 มิลลิลิตร เอาน้ำจิ้มบริเวณที่ปวด
- ราก – รสเผ็ด ขม สุขุม ใช้แก้ปวดเอว แก้ผื่นคันที่เกิดจากชื้นและที่เกิดจากแมลงกัดต่อย
- ใบ – ขับพยาธิตัดตืด แก้บิด แก้ท้องเสีย
- ราก, ใบ – เป็นยาขับประจำเดือน
- ดอก, ใบ – ช่วยย่อย แก้ไขข้ออักเสบ แก้ไอ เวียนศรีษะ
คุณค่าทางโภชนาการของดอกแก้ว
การแปรรูปของดอกแก้ว
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11446&SystemType=BEDO
www.flickr.com