บักเขียเทศ
ชื่ออื่นๆ : มะเขือส้ม (คนเมือง) ตะก่อชิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่) มะเขือส้ม (ภาคเหนือ) ตรอบ (สุรินทร์) น้ำเนอ (เชียงใหม่) ตีรอบ (เขมร) ฮวงเกีย
ต้นกำเนิด : ทวีอเมริกาใต้
ชื่อสามัญ : Tomato
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lycopersicon esculuentum Mill.
ชื่อวงศ์ : Solanaceae
ลักษณะของบักเขียเทศ
ต้น เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม
ใบ ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ
ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ
ผล ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก
มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น

การขยายพันธุ์ของบักเขียเทศ
ใช้เมล็ด
สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกประเภท ดินที่เหมาะสม ควรเป็นดินร่วนที่มีอินทรียวัตถุสูง มีการระบายน้ำดี ไม่แฉะ ในช่วงของการเจริญเติบโตควรได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดทั้งวัน การปลูกมะเขือเทศในฤดูฝนนั้นมีปัญหามาก เนื่องจากความชื้นแฉะของอากาศและอุณหภูมิสูงทำให้มะเขือเทศมีผลผลิตต่ำ และเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นฤดูที่เหมาะสมในการปลูกมะเขือเทศ คือ ฤดูหนาวซึ่งจะทำให้มะเขือเทศแข็งแรงและติดผลดกมาก มะเขือเทศแต่ละพันธุ์มีอายุการเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วจะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 60-75 วัน การเก็บมะเขือเทศสามารถทยอยเก็บได้ถึง 30 วัน
ธาตุอาหารหลักที่บักเขียเทศต้องการ
ประโยชน์ของบักเขียเทศ
ช่วยคงความสดชื่นให้ผิวหน้าด้วยการใช้ผลสุกพอกหน้าจะทำให้ผิวหน้าเต่งตึงอ่อนนุ่ม และมะเขือเทศยังช่วยรักษาสิว ได้อีกด้วย สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ช่วยเป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น ผลมีรสเปรี้ยว เสริมวิตามินซี เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยดับกระหาย ช่วยให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ขับสารพิษจากร่างกาย และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ โดยรับประทานผลสด ผู้ที่รับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ช่วยแก้อาการปวดฟัน โดยนำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทาน

สรรพคุณทางยาของบักเขียเทศ
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย
ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของบักเขียเทศ
การแปรรูปของบักเขียเทศ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=12079&SystemType=BEDO
https://www.flickr.com
6 Comments