ม่วงมัง หมากมัง
ชื่ออื่นๆ : แก็ก, วงคต, วงคด, องคต (ลำปาง) บงคด (แพร่) นกข่อ, ส้มป้อง (เชียงใหม่) ขิงพร้า, เขียงพร้า (ตราด,ประจวบคีรีขันธ์) กวางล่าม้า (ภาษาชอง-ตราด) ม่วงมัง, หมักมัง(ปราจีนบุรี) โองนั่ง (อุตรดิตถ์) บงมัง (ปราจีนบุรี,อุดรธานี) เขียงพร้านางแอ (ชุมพร) เฉียงพร้า, ตะแบง (สุรินทร์)ร่มคมขวาน (กรุงเทพ) สีฟันนางแอง (ภาคเหนือ) ต่อไส้สันพร้านางแอ (ภาคกลาง) คอแห้ง, สีฟัน (ภาคใต้) สะโข่ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) กูมุย(เขมร-สุรินทร์)
ต้นกำเนิด :
ชื่อสามัญ : เฉียงพร้านางแอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carallia brachiata(Lour)Merr
ชื่อวงศ์ : RHIZOPHORACEAE
ลักษณะของม่วงมัง หมากมัง
ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 25-30 เมตร และสูงได้ถึง 35 เมตร ลำต้นเปลา ตั้งตรง เป็นทรงเรือนยอดทรงพุ่มรูปกรวยกว้างทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลอมแดงถึงสีน้ำตาลอมเทา ผิวเรียบ และมีรูอากาศมาก หรือเปลือกต้นอาจหนาแตกเป็นร่องลึกตามยาว
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับกับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอกกลับ ปลายใบมนมีติ่งเล็กแหลม ส่วนฐานใบสอบแหลม ขอบใบเรียบ มีความกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร แผ่นใบเกลี้ยงหนาและเหนียว หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมันหนา ท้องใบสีอ่อนกว่า มีจุดสีน้ำตาลกระจาย และมีหูใบอ่อนเป็นรูปหอกแหลมที่ปลายกิ่ง เมื่อร่วงจะเห็นรอยแผล บริเวณข้อพองเล็กน้อย ส่วนก้านใบยาวประมาณ 0.4-1 เซนติเมตร
ดอก ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงแบบกระจุกสั้น ๆ มีดอกย่อยจำนวนมากและมีขนาดเล็กเรียงตัวกันแน่นเป็นช่อกลม โดนจะออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง แตกแขนงเป็น 4 กิ่ง กลีบดอกแยกอิสระจากกัน กลีบดอกมีสีครีม ลักษณะเป็นรูปกลม ขอบกลีบหยักเว้าพับจีบ โคนสอบแหลมเป็นก้านติดเรียงสลับกับกลีบเลี้ยง ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนเป็น 2 เท่าของกลีบดอกและยาวไม่เท่ากัน ส่วนจานฐานดอกเป็นวง มีรังไข่เป็นพู 3-4 พู โดยจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเล็ก และออกเป็นกระจุก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ปลายผลคล้ายมงกุฎ ผิวผลเป็นมัน มีเนื้อบางสีเขียวห่อหุ้มอยู่ ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเมื่อสุกจัด ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ มีเนื้อเยื่อหนาสีส้ม ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต โดยผลจะสุกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
การขยายพันธุ์ของม่วงมัง หมากมัง
ใช้เมล็ด
ธาตุอาหารหลักที่ม่วงมัง หมากมังต้องการ
ประโยชน์ของม่วงมัง หมากมัง
- ผลสุกใช้รับประทานได้ มีรสเปรี้ยวอมหวาน
- ต้นเฉียงพร้านางแอ เป็นไม้ไม่ผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งดอกมีกลิ่นหอม จึงเหมาะที่จะปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาหรือเป็นไม้ประดับอย่างยิ่ง
- ต้นเฉียงพร้านางแอจัดเป็นไม้โตเร็ว จึงเป็นพรรณไม้เพื่อปลูกป่าป้องกันอุทกภัยได้
- เนื้อไม้เฉียงพร้านางแอเป็นไม้ที่คงทนแข็งแรงและมีลายไม้ที่สวยงาม จึงนำมาใช้ในการก่อสร้างทั่วๆ ไปได้ดี หรือทำเป็นเครื่องมือทางการเกษตรก็ได้ ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ทำฟืนเผาถ่านให้ความร้อนสูง
- ผลสุกเป็นอาหารที่โปรดปรานของนก กระรอก และสัตว์ป่าขนาดเล็กหลายชนิด จึงช่วยดึงดูดสัตว์เหล่านี้ได้ดี
- ผลสุก(ฤดูฝน)รับประทานได้
- ผล ให้สีดำ ใช้ย้อมผ้า แห อวน
- ใบ ชงน้ำดื่ม
- เนื้อไม้ เป็นเชื้อเพลิงที่ดี
สรรพคุณทางยาของม่วงมัง หมากมัง
- ลำต้นใช้ต้มน้ำดื่มช่วยบำรุงร่างกาย (ต้น)
- ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มช่วยทำให้เจริญอาหาร หรือใช้เป็นยาเจริญอาหารสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร (ต้น)
- ลำต้นใช้ฝนน้ำดื่มช่วยแก้ไข้ หรือใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำอาบจะช่วยรักษาไข้ตัวร้อน (ต้น,เปลือกต้น)
- ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (เปลือกต้น) ช่วยระบายความร้อน (เปลือกต้น)
- ช่วยขับเสมหะและโลหิต ปิดธาตุ (เปลือกต้น)
- แก่นช่วยขับลม (แก่น)
- ช่วยแก้บิด (เปลือกต้น)
- ช่วยแก้พิษผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ ทำให้อาการของโรคกำเริบ และอาจมีอาการท้องเสีย) ด้วยการใช้ลำต้นผสมกับลำต้นแคด เปลือกของต้นตับเต่า นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือก)
- ช่วยในการสมานแผล (เปลือกต้น)
- ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเฉียงพร้านางแอ สารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินมีฤทธิ์แก้แพ้ ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้เล็กน้อยในสัตว์ทดลอง และไม่พบว่ามีพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง
คุณค่าทางโภชนาการของม่วงมัง หมากมัง
การแปรรูปของม่วงมัง หมากมัง
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=9280&SystemType=BEDO
www.ecoforest.phsmun.go.th, www.forest.go.th
www.flickr.com