เพี้ยฟาน
ชื่ออื่นๆ : หนาดงั่ว หนวดงิ้ว หนาดวัว (อุดรธานี) เพี้ยฟาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ขลู คลู(ใต้) ขี้ป้าน (แม่ฮ่องสอน)
ต้นกำเนิด : ขึ้นตามธรรมชาติในป่าชายเลนของประเทศเขตร้อน เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และอินเดีย เป็นต้น
ชื่อสามัญ : ขลู่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pluchea indica (Linn.) Less
ชื่อวงศ์ : Compositae
ลักษณะของเพี้ยฟาน
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กมีความสูง 1-2 เมตร ใบรูปไข่กลับปลายแหลม ขอบหยักโดยรอบ มีขนสีขาวปกคลุม ก้านสั้น ดอกเล็กเป็นกระจุกรวมกันเป็นช่อ สีขาวอมม่วงออกตามซอกใบ เกิดตามที่รกร้าง ชอบดินเค็มหรือ ดินกร่อย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
การขยายพันธุ์ของเพี้ยฟาน
ใช้ส่วนอื่นๆ
ธาตุอาหารหลักที่เพี้ยฟานต้องการ
ประโยชน์ของเพี้ยฟาน
ใบอ่อนใช้รับประทานเป็นผักจิ้มได้ ใบเมื่อนำมาผึ่งให้แห้ง จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำผึ้ง ใช้ชงดื่มแทนชา
สรรพคุณทางยาของเพี้ยฟาน
- ดอก แก้นิ่ว ราก แก้กษัย ขับนิ่ว
- ทั้งต้น แก้นิ่วในไต ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ริดสีดวงทวาร แก้มุดกิตระดู ขาว
แก้ตานขโมย - เปลือกต้น แก้ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร
ใบขลู่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพกลุ่มที่สำคัญคือกลุ่มฟีโนลิกและฟลาโวนอยด์ ใบขลู่ 100 กรัมมีกรดคลอโรจีนิก 20 มิลลิกรัม กรดคาเฟอิก 8.65 มิลลิกรัม และเคอร์ซิติน 5.21 มิลลิกรัม ผลการวิจัยของ Andarwulan และคณะในปีพ.ศ. 2553 ได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบขลู่ มีฤทธิ์ที่ดีในการต้านอนุมูลอิสระและสามารถยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของลิปิดได้ดีมาก ซึ่งนอกจากนี้แล้วได้มีรายงานทางเภสัชวิทยาหลายฉบับยืนยันฤทธิ์ทางชีวภาพของใบขลู่ สรุปสาระสำคัญโดยย่อได้ดังนี้ สารสกัดจากใบขลู่ด้วยการแช่ในเอทานอลเข้มข้น 70% เป็นเวลา 2 วัน พบว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และลดการปวดในสัตว์ทดลอง ซึ่งฤทธิ์ต้านการอักเสบได้รับการยืนยันซ้ำ จากผลการศึกษาการใช้สารสกัดใบขลู่เฉพาะส่วนที่สามารถละลายได้ทั้งในเอทานอลและเอธิลอะซิเตต สำหรับสารสกัดจากใบขลู่ด้วยการแช่ในเมทานอลเข้มข้น 80% เป็นเวลา 7-14 วัน พบว่ามีฤทธิ์ต้านโรควัณโรค
คุณค่าทางโภชนาการของเพี้ยฟาน
ใบขลู่สด 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
- โปรตีน 1.8 กรัม
- ไขมัน 0.5 กรัม
- ใยอาหารแบบละลายน้ำ 0.5 กรัม
- ใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ 0.9 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 8.7 กรัม
- แคลเซียม 250 มิลลิกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 1.2 มิลลิกรัม
- น้ำ 87.5 กรัม
ทั้งนี้ปริมาณแคลเซียมและปริมาณเบต้า-แคโรทีนที่พบในใบขลู่สด 100 กรัม เป็นปริมาณที่ใกล้เคียงเคียงเทียบเท่ากับปริมาณแคลเซียมที่ได้จากการดื่มน้ำนม 1 แก้ว (8 ออนซ์) และปริมาณเบต้า-แคโรทีนที่ได้จากการกินเนื้อฟักทองสุก 100 กรัม ตามลำดับ เบต้า-แคโรทีนเป็นรงควัตถุสีเหลืองที่พบในพืชและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี อย่างไรก็ตามใบของต้นขลู่ที่ขึ้นตามธรรมชาติในป่าชายเลนอาจมีปริมาณโซเดียมสูงมากเนื่องมาจากต้นขลู่ได้รับเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่มาจากความเค็มของดิน ดังนั้นผู้ที่ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจไม่ควรรับประทานใบขลู่ในปริมาณมาก
การแปรรูปของเพี้ยฟาน
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=11868&SystemType=BEDO
https://pharmacy.mahidol.ac.th
https://www.flickr.com