ค้างคาวดำ
ชื่ออื่นๆ : เนระพูสีไทย (ภาคกลาง) ม้าถอนหลัก, มังกรดำ (เชียงใหม่) ดีปลาช่อน, ดีงูหว้า (เหนือ) ค้าวคาวดำ (กลาง) คลุ้มเลีย, ว่านหัวฟ้า (จันทบุรี) ว่านค้างคาว
ต้นกำเนิด :
ชื่อสามัญ : Bat Flower
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tacca chantrieri Andre
ชื่อวงศ์ : TACCACEAE
ลักษณะของค้างคาวดำ
ต้น เป็นไม้ล้มลุก มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ความสูงวัดจากพื้นถึงปลายใบ 50-60 ซม.
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว มีก้านยาวจากหัวถึงโคน 20-30 ซม.ก้านและใบสีเขียว ปลายใบแหลม ใบกว้าง 8-15 ซม.ยาว 30-50 ซม. พื้นใบมองแล้วเป็นยับๆ ไปตามเส้นแขนงใบ ซึ่งมี 12-18 คู่
ดอก ออกเป็นช่อ ช่อละ 4-6 ดอก มีใบประดับคล้ายกับกลีบเลี้ยง 2 คู่ กว้าง 4-8 ซม. ยาวถึง 10 ซม. แต่ละดอกมี 6 กลีบ สีจะออกม่วงดำ นอกจากนี้ยังมีใบประดับเป็นเส้นกลมอีก 5-20 เส้น คล้ายหนวดปลาดุก
ผล รูปทรงคล้ายกระสวย รูปสามเหลี่ยม มีกลีบดอกติดแน่น แก่แล้วผลจะไม่แตก

การขยายพันธุ์ของค้างคาวดำ
การเพาะเมล็ดหรือแยกหน่อ
ธาตุอาหารหลักที่ค้างคาวดำต้องการ
ประโยชน์ของค้างคาวดำ
ค้างคาวดำเป็นผักกินสด โดยส่วนใหญ่จะกินส่วนที่เป็นดอกและใบอ่อน เป็นผักกินแกล้มลาบหรือกินกับน้ำพริก แจ่ว เป็นต้น
สรรพคุณทางยาของค้างคาวดำ
- เหง้า ต้มหรือดองสุรา แก้โรคความดันต่ำ บำรุงกำลังทางเพศ สตรีมีครรภ์
- ใช้ทั้งต้นนำมาต้มอาบแก้เม็ดผื่นคันตามร่างกาย

คุณค่าทางโภชนาการของค้างคาวดำ
การแปรรูปของค้างคาวดำ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=10682&SystemType=BEDO
www.flickr.com