การเลี้ยงปลาช่อน ปลาพื้นเมืองของไทย

ปลาช่อน

ข้อมูลทั่วไป  ชื่อไทย ช่อน (ภาคกลางและภาคใต้ ) , ค้อ ( ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ )
ชื่อสามัญ  STRIPED SNAKE-HEAD FISH
ชื่อวิทยาศาสตร์ Channa striata

ปลาช่อนเป็นปลาพื้นเมืองของไทย พบอาศัยแพร่กระจายทั่วไปตามแหล่งน้ำทั่วทุกภาค ของไทย อาศัยอยู่ในแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ หนองและบึง ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืด ที่มีมาหลายร้อยพันปีแล้วนอกจากจะพบในประเทศไทยยังมีแพร่หลายในประเทศจีน อินเดีย ศรี ลังกา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าการเลี้ยงปลาช่อนในประเทศไทยเกิดขึ้น ครั้งแรกที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 40 ปีมาแล้ว โดยชาวจีนที่ตลาดบางลี่ อําเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นนายทุนได้รวบรวมลูกพันธุ์จากแหล่งน้ำธรรมชาติในเขตพื้นที่อําเภอสองพี่น้อง มาทดลองเลี้ยงดูและเห็นว่าพอเลี้ยงได้จึงออกทุนให้กับคนญวนที่มี ภูมิลําเนาติดกับแม่น้ำท่าจีนและคลองสองพี่น้องในตําบลสองพี่น้อง ตําบลต้นตาล โดยสร้าง กระชังในล่อนแล้วแต่ขนาดและความเหมาะสม นําลูกปลาช่อนมาลงเลี้ยง โดยผลผลิตที่ได้ นายทุนจะรับซื้อเอง แต่ทําได้ไม่นานก็ต้องเลิกเพราะเกษตรกรบางรายนําลูกปลาช่อนไปลอง เลี้ยงในบ่อดินและพบว่าได้ผลดีกว่าและต้นทุนต่ำกว่า และปริมาณลูกปลาช่อนที่ได้รับก็มีจำนวนมากกว่า

ปลาช่อน
ปลาช่อน ลำตัวอ้วนกลม เรียวยาว

ลักษณะทั่วไป

ปลาช่อนเป็นปลามีเกล็ด ลําตัวอ้วนกลมและยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่และเกล็ดตามลําตัวเป็นสีเทาจนถึงน้ำตาลอมเทา ปากกว้างมาก มุมปากยาว ถึงตา ริมฝีปากว้างยื่นยาวกว่าริมฝีปากบน มีฟันซี่เล็กๆ อยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ตามีขนาด ใหญ่ ครีบทุกครีบไม้มีก้านครีบแข็ง ครีบหลังและครีบก้นยาวจนเกือบถึงโคนหาง ครีบหลังมีก้าน ครีบ 38-42 อัน ครีบก้นมีก้านครีบ 24-26 อัน ครีบอกมีขนาดใหญ่ ครีบท้องมีขนาดเล็ก ครีบหาง กลม โคนครีบหางแบนข้างมาก ลําตัวส่วนหลังมีสีดํา ท้องสีขาว ด้านข้างลําตัวมีลายดําพาด เฉียง เกล็ดตามเส้นข้างลําตัวมีจํานวน 49-55 เกล็ด และมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ ปลาช่อนจึงมีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีอยู่ในที่ชื้นๆ ได้นานและสามารถเคลื่อนไหวไปมาบนบกหรือฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานานๆ

การแพร่ขยายพันธุ์และการวางไข่

ปลาช่อนสามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปี สําหรับฤดูกาลผสมพันธุ์วางไข่จะเริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคม-ตุลาคม แต่ช่วงที่แม่ปลามีความพร้อมมากที่สุดในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ใน ฤดูวางไข่จะเห็นความแตกต่างระหว่างปลาเพศผู้กับปลาเพศเมียได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ปลา เพศเมียลักษณะท้องจะอูมเป่ง ช่องเพศขยายใหญ่มีสีชมพูปนแดง ครีบท้องกว้างสั้น ส่วนปลา เพศผู้ลําตัวมีสีเข้ม ใต้คางมีสีขาว ลําตัวยาวเรียวกว่าตัวเมีย พ่อแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ควรมีน้ำหนัก ตัวประมาณ 800-1,000 กรัม ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติปลาช่อนจะสร้างรังวางไข่ตาม แหล่งน้ำนิ่ง ความลึกประมาณ 30-100 เซนติเมตร โดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้สร้างรังด้วยการกัดหญ้า หรือพันธุ์ไม้น้ำและใช้หางโบกพัดตลอดเวลา เพื่อทําให้รังมีลักษณะเป็นวงกลม ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร ปลาจะกัดหญ้าที่บริเวณกลางๆของรัง ส่วนดินใต้น้ำปลาก็จะตีแปลงจนเรียบ

หลังจากที่แม่ปลาวางไข่แล้ว พ่อแม่ปลาจะคอยรักษาไข่อยู่ใกล้ๆ เพื่อมิให้ปลาหรือศัตรู อื่นเข้ามากิน จนกระทั่งไข่ฟักออกเป็นตัว ในช่วงนี้พ่อแม่ปลาก็ยังให้การดูแลพาลูกหาอาหาร เมื่อลูกปลามีขนาด 4.5-6 เซนติเมตร จึงสามารถแยกตัวออกไปหากินตามลําพังได้ ซึ่งลูกปลาใน วัยนี้มีชื่อเรียกว่า ลูกครอกหรือลูกชักครอก ลูกปลาขนาดดังกล่าวน้ำหนักเฉลี่ย 0.5 กรัม ปลา 1 กิโลกรัมจะมีลูกครอกประมาณ 2,000 ตัว ซึ่งลูกครอกระยะนี้จะมีเกษตรกรผู้รวบรวมลูกปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติจับมาจําหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาเนื้อ

การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์

ปลาช่อนที่นํามาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ควรเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสมบูรณ์ ไม่บอบช้ำ และมีน้ำหนักตั้งแต่ 800-1,000 กรัมขึ้นไปและอายุ 1 ปีขึ้นไป ลักษณะของพ่อแม่พันธุ์ปลาช่อนที่ดี เหมาะสมจะนํามาใช้ผสมพันธุ์ แม่พันธุ์ควรมีส่วนท้องอูมเล็กน้อย ลักษณะติ่งเพศมีสีแดงหรือ ชมพูอมแดง ถ้าเอามือบีบเบาๆ ที่ท้องจะมีไข่ไหลออกมามีลักษณะกลมสีเหลืองอ่อน ใส ส่วนพ่อพันธุ์ติ่งเพศควรจะมีสีชมพูเรื่อๆ ปลาไม่ควรจะมีรูปร่างอ้วนหรือผอมจนเกินไป

การเพาะพันธุ์ปลาช่อน

ในการเพาะพันธุ์ปลาช่อนต้องเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ บ่อเพาะพันธุ์ควรมี ระดับความลึกของน้ำประมาณ 1.0-1.5 เมตร และมีการถ่ายเทน้ำบ่อยๆ เพื่อกระตุ้น ให้ปลากิน อาหารได้ดี มีการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ให้สมบูรณ์ซึ่งจะทําให้พ่อแม่พันธุ์่ปลาช่อนมีน้ำเชื้อและไข่ ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น

การเพาะพันธุ์ปลาช่อน ทําได้ 2 วิธีคือ

  1. การเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ วิธีนี้ควรใช้บ่อเพาะพันธุ์เป็นบ่อดินขนาด 0.5-1.0 ไร่พร้อมทั้งจัดสภาพสิ่งแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติโดยปล่อยพ่อแม่พันธุ์ในอัตรา 1:1 ให้ปลา เป็ดผสมรําเป็นอาหารในปริมาณร้อยละ 2.5-3 ของน้ำหนักปลา
  2. การเพาะพันธุ์โดยวิธีการผสมเทียมดเวยฮอร์โมนสังเคราะห์ โดยใชเฮอร์โมนสังเคราะห์ ฉีดเร้งใหเแม้ปลาช้อนวางไข่ เพื่อที่รีดไข่ใหเผสมกับน้ำเชื้อหรือปล่อยให้ผสมกันเองตามธรรมชาติ ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ใช้ได้แก่ LHRHa หรือ LRH-a โดยใช้ร่วมกับ Domperidone

    การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาช่อนโดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ฉีดเร่งให้แม่ปลาวางไข่นั้น ฉีดเพียงครั้งเดียวที่ระดับความเข้มข้น 30 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักแม่ปลา 1 กิโลกรัม ร่วมกับ Domperidone 10 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักแม่ปลา 1 กิโลกรัม ส่วนพ่อพันธุ์ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ ระดับความเข้มข้น 15 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักพ่อปลา 1 กิโลกรัม ร่วมกับ Domperidone 5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักพ่อปลา 1 กิโลกรัม จากนั้นประมาณ 8-10 ชั่วโมงสามารถรีดไข่ผสมกับน้ำเชื้อได้ เนื่องจากไข่ปลาช่อนมีไขมันมากเมื่อทําการผสมเทียมจึงต้องล้างน้ำหลายๆ ครั้งเพื่อขจัดคราบ ไขมัน นําไข่ไปฟักในถังไฟเบอร์กลาสขนาด 2 ตันภายในถังเพิ่มออกซิเจนผ่านหัวทรายโดยเปิดเบาๆ ในกรณีที่ปล่อยให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์กันเอง หลังจากที่แม่ปลาวางไข่แล้วต้องแยกไข่ไปฟักต่างหากเช่นกัน

บ่อปลาธรรมชาติ
บ่อปลาธรรมชาติ ควรเป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก

การฟักไข่

ไข่ปลาช่อนมีลักษณะกลมเล็ก เป็นไข่ลอย มีไขมันมาก ไข่ที่ดีมีสีเหลือง ใส ส่วนไข่เสีย จะทึบ ไข่ปลาช่อนฟักเป็นตัวภายในเวลา 30-35 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิของน้ำ 27 องศาเซลเซียส ความเป็นกรด-ด่าง 7.8 และความกระด่าง 56 ส่วนต่อล้าน

การอนุบาลลูกปลาช่อน

ลูกปลาที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ๆ ลําตัวมีสีดำมีถุงไข่แดงสีเหลืองใส ปลาจะลอยตัวใน ลักษณะหงายท้องขึ้นอยู่บริเวณผิวน้ำ ลอยอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหว หลังจากนั้น 2-3 วันจึงพลิก กลับตัวลงและว่ายไปมาตามปกติโดยว่ายรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณผิวน้ำ ลูกปลาช่อนที่ฟักออกมา เป็นตัวใหม่ๆ ใช้อาหารในถุงไข่แดงที่ตดิ มากับตัวเมื่อถุงไข่แดงยุบวันที่ 4 จึงเริ่มให้อาหารโดยใช้ไข่แดงต้มสุกบดละลายกับน้ำผ่านผ้าขาวบางละเอียดให้ลูกปลากินวันละ 3 ครั้ง เมื่อลูกปลามี อายุย่างเข้าวันที่ 6 จึงให้ไรแดงเป้นอาหารอีก 2 สัปดาห์ และฝักให้อาหารเสริม เช่น ปลาป่น เนื้อปลาสดสับ โดยใส่อาหารในแท่นรับอาหารรูปสี่เหลี่ยมซึ่งมีทุ่นผูกติดอยู่ ถ้าให้อาหารไม่เพียงพออัตราการเจริญเติบโตของลูกปลาจะแตกต่างกัน และเกิดพฤติกรรมการกินกันเองทําให้ อัตราการรอดตายต่ำจึงต้องคัดขนาดลูกปลา การอนุบาลลูกปลาช่อนโดยทั่วไปจะมีอัตราการ รอดประมาณร้อยละ 70 และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันร้อยละ 50 ของปริมาตรน้ำ

การเลี้ยงปลาช่อน

ปลาช่อนเป็นปลากินเนื้ออาหารที่ใช้เลี้ยงปลาช่อนจึงต้องเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยทั่วไปนิยมเลี้ยงด้วยปลาเป็ด อัตราการปล่อยปลา นิยมปล่อยลูกปลาขนาด 8-10 เซนติเมตร หรือ น้ำหนัก 30-35 ตัว/กิโลกรัม ควรปล่อยในอัตรา 40-50 ตัว/ตารางเมตร และเพื่อป้องกันโรค ซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ให้ใช้ฟอร์มาลีนใส่ในบ่อเลี้ยงอัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนใน ล้าน ( 3 ลิตร/น้ำ 100 ตัน ) ในวันแรกที่ปล่อยลูกปลาไม่จําเป็นต้องให้อาหาร ควรเริ่มให้อาหาร ในวันรุ่งขึ้น โดยเมื่อปล่อยลูกปลาช้อนลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงลูกปลาช่อนมีขนาด เล็ก คือ ปลาเปิดผสมรําในอัตราส่วน 4:1 หรืออัตราส่วนปลาเปิดร้อยละ40, รําร้อยละ30, หัวอาหารร้อยละ30 ปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกินร้อยละ 4-5 ของน้ำหนักตัวปลา วางอาหารไว้ บนตะแกรงหรือภาชนะแบบลอยไว้ใต้ผิวน้ำ 2-3 เซนติเมตร ควรวางไว้หลายๆจุด การถ่ายเทน้ำ ช่วงแรกความลึกของน้ำในบ่อควรอยู่ที่ระดับ 30-40 เซนติเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่ม ระดับน้ำสัปดาห์ละ 10 เซนติเมตรจนได้ระดับ 50 เซนติเมตรจึงถ่ายน้ำวันละครั้ง หลังจาก อนุบาลลูกปลาในบ่อดินประมาณ 2 เดือน ปลาจะเติบโตไม่เท่ากัน ใช้อวนลากลูกปลาเพื่อคัดขนาด ไม่เช่นนั้นปลาใหญ่จะกินปลาเล็ก หลังจากอนุบาลลูกปลาในช่วง 2 เดือนแล้วต้องใช้เวลา เลี้ยงอีกประมาณ 4-5 เดือนจะให้ผลผลิต 1-2 ตัว/กิโลกรัม เช่น เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งานจะได้ผลผลิต มากกว่า 6,000 กิโลกรัม และเมื่อปลาโตได้ขนาดต้องการจึงจับจําหน่ายซึ่งก้อนจับปลาควรงด อาหาร 1-2 วัน

การจับขายจับโดยการสูบน้ำออก 2 ใน 3 แล้วตีอวน ระลึกไว้ว่าปลาช่อนเป็นปลาที่ชอบ มุดโคลนเลน ดังนั้นถ้าปลาเหลืออยู่น้อย ควรสูบน้ำให้แห้งแล้วจับออกให้หมด นําปลาที่ได้มา ล้างโคลนออกก่อนที่จะส่งตลาด

การเลือกสถานที่เลี้ยงปลาช่อน ควรจะพิจารณาเป็นข้อๆ ดังนี้

  1. ใกล้แหล่งน้ำจืด ที่สามารถใช้ได้ตลอดปี 
  2. น้ำไม่เป็นกรดหรือด่างมากจนเกินไป
  3. ที่ดอน น้ำไม่ท่วม และเป็นที่ราบ
  4. ดินเหนียว หรือปนทราย
  5. คมนาคมสะดวก

การเตรียมบ่อ

  1. พื้นที่ที่ใช้ไม่ควรต่ำกว่ากว่าบ่อละครึ่งไร่ลึก 1.5 – 2 เมตร ทําคันดินที่ปากบ่อเมื่อเก็บน้ำได้ ระดับสูงสุด ระดับน้ำควรต่ำกว่าคันดินประมาณ 8 เมตร
  2. กั้นรั้วตาข่ายหรือไนล้อนที่ปากบ่อกันปลาช่อนกระโดดหนี
  3. อัดดินในบ่อให้เรียบแน่น
  4. ในกรณีที่เป็นบ่อเก่าควรสูบน้ำทิ้ง เหลือน้ำไว้ลึกประมาณ 20 เซนติเมตร
  5. โรยโล่ติ๊นกําจัดปลาที่ไม่ต้องการ และโรยปูนขาวในอัตรา 60-100 กิโลกรัมต่อ 1ไร่ เพื่อฆ่าพยาธิและปรับสภาพดิน
  6. ตากบ่อ 5-7 วัน
  7. ใส่ปุ๋ยคอกตากหมาดๆ 40-80 กิโลกรัมต่อไร่
  8. ระดับน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงปลาช่อนลูกปลาขนาดเล็กกว่า 5 เซนติเมตรน้ำลึก 30-40เซนติเมตร ปลาและลูกปลาขนาดมากกว่า 6 เซนติเมตรน้ำลึก 80-150 เซนติเมตร
    **ลักษณะความแตกต่างระหว่างปลาช่อนเลี้ยงและปลาช่อนนา (ปลาช่อนที่จับจากธรรมชาติ )
    – ปลาช่อนนา สีเกล็ดของลําตัวจะมีสีไม่แน่นอน แล้วแต่แหล่งน้ำที่อาศัย หัวค่อนข้างใหญ่และยาว ปากค่อนข้างแบน ลําตัวเพรียวยาวแต่ไม่กลม เมื่อผ่าท้องดูจะเห็นว่าบริเวณลําไส้ ไม่มีไขมัน นอกเหนือจากฤดูวางไข่ซึ่งตัวเมียที่สมบูรณ์กําลังมีไข่อ่อนจะมีไขมันติดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    – ปลาช่อนเลี้ยง สีเกล็ดของลําตัวจะมีสีเดียวกันหมด หัวเล็กสั้น ปลายปากมนเรียวลําตัวอ้วนกลมยาวพอประมาณ เมื่อผ่าท้องดูจะเห็นบริเวณลําไส้จะมีไขมันจับเป็นก้อนทุกตัว
การเลี้ยงปลาช่อน
การเลี้ยงปลาช่อน พื้นที่ใช้ไม่ควรต่ำกว่าบ่อ 1.5 – 2 เมตร

โรคและการป้องกัน

โรคพยาธิและอาการของปลาช่อนส่วนใหญ่ ได้แก่

  1. โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก เช่น เห็บระฆัง ปลิงใส หนอนสมอ จะเกาะดูดเลือดทําให้เกิดเกล็ดหลุด ตัวแข็งมีแผลตามตัว ปลาเกิดการระคายเคือง ถ้าปล่อยไว้นานปลาอาจจะตายหมดบ่อ ให้ใช้ดิปเทอร์เรกซ์ 400g/ 0.5 ไร่ ทิ้งค้างคืนงดอาหารจนกว่าจะถ่ายน้ำใหม่หรือใช้ฟอร์มาลีน 150-200 ซีซี ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช์ประมาณ 24 ชั่วโมง
  2. ท้องบวมหรือเกล็ดหลุดเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ให้ใช้เทอรามัยซิน 2 กรัมในอาหาร 1กิโลกรัมให้ปลากิน
  3. โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน เช่น พยาธิหัวหนาม พบในลําไส้ ลักษณะอาการตัวผอมและกินอาหารลดลง การรักษาโดยใช้ยาถ่ายพยาธิ

การตลาดและการขนส่ง

ในการขนส่งนิยมใช้ลังไม่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าภายในกรุสังกะสีกว้าง 58 เซนติเมตรยาว 94 เซนติเมตร ความสูง 38 เซนติเมตร สามารถขนส่งโดยรถบรรทุกสู่ตลาดทั่วทุกภาคของประเทศ ไทย สําหรับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณการนําเข้าปลาช่อนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ต้องการปลาช่อนขนาดใหญ่ที่มี น้ำหนักตัวกว่า 1 กิโลกรัม ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นําเข้าปลาช่อนที่มีน้ำหนักประมาณ 400-500 กรัม และ 700-800 กรัม สําหรับตลาดผู้บริโภคปลาช่อนในกรุงเทพฯ ต้องการปลาใหญ่ซึ่งมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัมขึ้นไป เป็นต้น

ราคาขายปลาช่อน

ราคา ณ วันที่ 12 เมษายน 2565

  • ปลาช่อน (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ 150 บาท / ปลาช่อน (เล็กสวย) ราคากิโลกรัมละ 120 บาท
  • ปลาช่อนทะเลย่าง (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ 95 บาท
  • ปลาช่อนทะเลเค็ม (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ  210 บาท
  • ปลาช่อนเลี้ยง (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ 145 บาท / ปลาช่อน (เล็กสวย) ราคากิโลกรัมละ 135 บาท ราคา ณ วันที่ 6 มีนาคม 2564

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ :
http://www.eto.ku.ac.th
https://www.simummuangmarket.com
https://www.flickr.com

Add a Comment