ตะลิงปลิง
ตะลิงปลิง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Averrhoa bilimbi L. ผลไม้รสเปรี้ยวจัดนิยมนำมาทานคู่กับพริกเกลือ ใช้ประกอบอาหาร ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่น ฯลฯ สามารถหามาทานได้ง่ายมีอยู่ทั่วไป ในทุกพื้นที่เนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นที่ปลูกง่ายโตไวออกดอกออกผลดกเป็นพุ่มสามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี รวมถึงสามารถปลูกเพื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้อีกทางหนึ่ งหรือจะปลูกไว้ประจำบ้านเพื่อเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี ตะลิงปลิงอุดมด้วยวิตามินและสารอาหารที่สำคัญๆ ได้แก่ วิตามินซีสูง วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 แคโรทีน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน แคลเซียม เป็นต้น
สรรพคุณในด้านยาของตะลิงปลิงที่ถูกนำมาใช้รักษาโรค
- นำมาทำเป็นยาแก้ไอได้ โดยการนำดอกตะลิงปลิงมาต้มดื่มแทนชา
- ใช้เป็นยารักษาอาการอักเสบหรือมีเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ โดยนำส่วนรากตะลิงปลิงมาต้มดื่มเป็นยาวันละ 3 เวลา เช้า-กลงวัน-เย็น อาการจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
- ช่วยให้เจริญอาหาร เรียกน้ำย่อยได้ดีทำให้อยากอาหารโดยการทานผลตะลิงปลิง
- ใช้เป็นยาบำรุงและแก้อาการปวดมดลูกด้วยการทานผลสดของตะลิงปลิง
- ใช้เป็นยารักษาโรคซิฟิลิสโดยการต้มใบตะลิงปลิงดื่มเช้า-เย็น
- รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ด้วยการทานผลตะลิงปลิงเนื่องจากมีวิตามินซีสูง
- ช่วยฟอกเลือดได้โดยการทานผลสดตะลิงปลิงจิ้มพริกเกลือ
- ทำเป็นยารักษาโรคผิวหนัง แก้อาการผดผื่นคัน โดยการนำใบหรือรากตะลิงปลิงมาต้มอาบเช้า-เย็น หรือนำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหรือทาในบริเวณที่มเป็นผดผื่นคัน เช้า-เย็นต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่าอาการจะหายดี
- เมื่อทานตะลิงปลิงเป็นประจำจะมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือดและช่วยลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติได้
- ใช้รักษาสิวและรอยสิวให้จางลงได้ ด้วยการนำเอาผลของลูกตะลิงปลิงมาฝานเป็นแว่นบางๆวางแปะไว้บนบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ 30 นาที ทำซ้ำเช้า-เย็นไปเรื่อยๆจะสังเกตเห็นว่ารอยสิวจะค่อยๆจางลง ส่วนการักษาสิวให้ใช้ใบหรือรากของตะลิงปลิงมาตำให้ละเอียดจากนั้นนำมาพอกบนตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ทำซ้ำๆเช่นเดียวกันกับการรักษารอยสิวจะเห็นได้ว่าตุ่มสิวจะค่อยๆแห้งยุบลง อาการอักเสบหายไป ระหว่างนี้ห้ามแกะหรือบีบสิว
การใช้ตะลิงปลิงรวมถึงการใช้พืชสมุนไพรอื่นๆ ในการรักษาโรคต่างๆนับว่าเป็นวิธีที่บกบ่องถึงภูมิปัญญาและความชาญฉลาดของคนไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันและก็ยังคงได้รับความนิยมเสมอมา เนื่องจากสามารถรักษาอาการได้จริง เห็นผลดี ไม่ทิ้งสารพิษไว้ในร่างกาย โดยจะมีความแตกต่างจากการใช้ยาแผนปัจจุบันรักษาโรคซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความนิยมและความสะดวกของแต่ละท่าน แต่อย่าลืมว่าไม่ว่าจะใช้แนวทางการรักษาใดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดีและละเอียดรวมทั้งการใช้ยาในปริมาณที่พอเหมาะกับสภาพร่างกายของตนเองนะคะ
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=9919&SystemType=BEDO
http://worldcongressacg2017.org
https://www.flickr.com
