ผักขม
ชื่ออื่นๆ : ผักขม (กลาง) ผักโหม, ผักหม (ใต้) ผักโหมเกลี้ยง (แม่ฮ่องสอน) กระเหม่อลอเตอ (กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน)
ต้นกำเนิด : ประเทศไทย
ชื่อสามัญ : ผักโขม, Amaranth , Amaranth green
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amaranthus Lividus Linn.
ชื่อวงศ์ : AMARANTHACEAE
ลักษณะของผักขม
ต้น ผักขมเป็นพืชล้มลุกปีเดียวลำต้นสีเขียวตรงแตกกิ่งก้านสาขามากใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่คล้ายสามเหลี่ยม
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่คล้ายสามเหลี่ยมใบออกแบนสลับกว้าง 2.5-8 ซม.ยาว 3.5-12 ซม. ผิวเรียบหรือมีขนเล็กน้อย ขอบใบเรียบ หลังใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
ดอก เป็นดอกช่อสีม่วงปนเขียว ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยเรียงตัวอัดกันแน่น
เมล็ด มีลักษณะกลมสีน้ำตาลเกือบดำ ขนาดเล็ก
ลำต้นอวบ สีเขียว
การขยายพันธุ์ของผักขม
การเพาะเมล็ด
ผักขมชอบดินร่วนซุยและชุ่มชื่นขึ้นใต้ร่มเงา
ธาตุอาหารหลักที่ผักขมต้องการ
ประโยชน์ของผักขม
ยอดอ่อน ใบอ่อน ต้นอ่อน นำมาต้ม,ลวกหรือนึ่งให้สุกรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกเช่น น้ำพริกปลาร้า ปลาจ่อม กะปิ ปลาทูและน้ำพริกอีกหลายชนิด หรือนึ่งพร้อมกับปลา ทำผัดผักกับเนื้อสัตว์ นำไปปรุงเป็นแกงเช่น แกงเลียง
สรรพคุณทางยาของผักขม
- ทั้งต้น ดับพิษภายในและภายนอก แก้บิด มูกเลือด ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร แก้ผื่นคัน แก้รำมะนาด รักษาฝี แผลพุพอง
- ใบสด รักษาแผลพุพอง ต้น แก้อาการแน่นหน้าอกและไอหอบ ราก ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ
คุณค่าทางโภชนาการของผักขม
ผักโขมมีโปรตีนสูงและมีกรดอะมิโนครบทุกชนิด เหมาะกับผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ เป็นผักใบเขียวที่มีวิตามินเอ บี 6 ซี ไรโบฟลาวิน โฟเลต และแร่ธาตุ สำคัญได้แก่ แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ทองแดงและแมงกานีส ผักโขมยังเป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน และแม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีบีตา-แคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
การแปรรูปของผักขม
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view.aspx?id=9643&SystemType=BEDO
https://th.wikipedia.org
4 Comments