ชิงชี่
ชื่ออื่นๆ : กระดาดป่า (ชลบุรี) ชายชู้, หมากมก (ชัยภูมิ) หนวดแมวแดง (เชียงใหม่) คายซู (อุบลราชธานี) พญาจอมปลวก, กระดาดขาว, กระโรกใหญ่, กินขี้, จิงโจ้, แสมซอ, ค้อนฆ้อง, ซิซอ, เม็งซอ, ราม (สงขลา) แส้ม้าทะลาย (เชียงราย) พุงแก, น้ำนอง, น้ำนองหวะ, เม็งซอ, พวงมะละกอ
ต้นกำเนิด : บังกลาเทศ, จีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชื่อสามัญ :
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capparis micracantha DC.
ชื่อพ้อง : Capparis bariensis Pierre ex Gagnep. Capparis billardieri DC. Capparis callosa Blume Capparis conspicua Wall. Capparis donnaiensis Pierre ex Gagnep. Capparis forsteniana Miq. Capparis hainanensis Oliv. Capparis liangii Merr. & Chun Capparis micracantha subsp. micracanthaCapparis myrioneura Hallier f. Capparis odorata Blanco Capparis petelotii Merr. Capparis roydsiifolia Kurz Capparis venosa Merr.
ชื่อวงศ์ : Capparaceae
ลักษณะของชิงชี่
ต้น ไม้พุ่มหรือกึ่งเลื้อย สูง 2-6 เมตร กิ่งก้านอ่อนมีสีเขียว ผิวเรียบเกลี้ยง กิ่งคดไปมา มีหนามยาว 2-4 มิลลิเมตร ตรงหรือโค้งเล็กน้อย ลำต้นสีเทา ผิวเปลือกเป็นกระสีขาว แตกระแหง
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนาน รูปรี หรือรูปไข่ กว้าง 3-15 เซนติเมตร ยาว 9.5-24 เซนติเมตร ปลายใบมนหรือแหลม หรือเว้าเล็กน้อยแล้วเป็นติ่ง โคนใบสอบมนหรือค่อนข้างเว้า ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย เนื้อใบค่อนข้างหนา มัน เกลี้ยง หลังใบเรียบเป็นมัน ท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 0.7-1 เซนติเมตร
ดอก ดอกเดี่ยว ออกเรียงเป็นแถว 1-7 ดอก ตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ออกเรียงอยู่เหนือง่ามใบ ก้านดอกยาว 1-2 เซนติเมตร กลีบรองกลีบดอก ลักษณะเว้าเป็นรูปเรือแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 มิลลิเมตร ยาว 5.5-13 มิลลิเมตร ขอบมักมีขน กลีบดอกรูปขอบขนาน หรือรูปหอก กว้าง 3-7 มิลลิเมตร ยาว 10-25 มิลลิเมตร สีขาว หลุดร่วงง่าย มี 2 กลีบด้านนอก สีขาวแต้มเหลืองและจะเปลี่ยนเป็นแต้มสีม่วงปนน้ำตาล มีต่อมน้ำหวาน ที่โคนก้านดอก เกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กฝอยๆสีขาว เหมือนหนวดแมวยื่นออกมา มี 20-35 อัน ก้านยาว รังไข่รูปไข่ เกลี้ยง ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน
ผล ผลสด ค่อนข้างกลมหรือรี มี 4 ร่องตามยาว ผิวผลเรียบ แข็งเป็นมัน กว้าง 3-6.5 เซนติเมตร สีเขียวน้ำตาล เมื่อสุกสีเหลืองหรือแดง หรือดำ เนื้อรสหวานรับประทานได้ เมล็ดรูปไต สีแดงหรือดำ เป็นมัน อัดกันแน่นเป็นจำนวนมาก ติดผลราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม
การขยายพันธุ์ของชิงชี่
การเพาะเมล็ด
ขึ้นตามสภาพดินแห้ง หินปูน ป่าละเมาะ ทุ่งหญ้า ที่ระดับต่ำกว่า 500 เมตร
ธาตุอาหารหลักที่ชิงชี่ต้องการ
ปลูกในที่ที่มีแสงแดดและความชื้นปานกลาง
ประโยชน์ของชิงชี่
- ปลูกเป็นไม้ประดับ
- ผลเนื้อรสหวานรับประทานได้
สรรพคุณของชิงชี่
- ราก รสขมขื่น แก้โรคที่เกิดในท้อง ขับลมภายใน แก้ไข้ร้อนทุกชนิด ไข้พิษ แก้โรคตา โรคกระเพาะ รักษามะเร็ง ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ และเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตร แก้ไอเนื่องจากหลอดลมอักเสบ แก้หืด รากชิงชี่ใช้ใน “พิกัดเบญจโลกวิเชียร” (ยาแก้วห้าดวง หรือยาห้าราก) ซึ่งได้จากรากไม้ 5 ชนิดคือ รากชิงชี่ รากคนทา รากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อชุมพร และรากย่านาง มีสรรพคุณ แก้ไข้ต่างๆ กระทุ้งพิษหรือถอนพิษต่างๆ
- ทั้งต้น รสขื่นปร่า ตำพอกแก้ฟกช้ำ บวม แก้ไข้ ขับน้ำเหลืองเสีย
- ใบ รสเฝื่อนเมา เข้ายาอาบ แก้โรคผิวหนัง รักษาประดง ใบต้มดื่ม แก้โรคผิวหนัง แก้สันนิบาต ไข้ฝีกาฬ แก้ตะคริว ใบเผาเอาควันสูดแก้หลอดลมอักเสบ ไข้พิษ ฝีกาฬ ไข้สันนิบาต
- รากและใบ แก้หืด แก้เจ็บในทรวงอก เป็นยาระงับความร้อน กระทุ้งพิษไข้ออกหัด อีสุกอีใส ตำพอกแก้ฟกช้ำบวม ดอก รสขื่นเมา แก้มะเร็ง ผลดิบ รสขื่นปร่า แก้โรคในลำคอ เจ็บคอ ลำคออักเสบ
คุณค่าทางโภชนาการของชิงชี่
การแปรรูปชิงชี่
สามารถติดตามความรู้เเกี่ยวกับการเกษตร เพิ่มเติมได้ที่ เกษตรตำบล.คอม
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
กล้วยหินและกล้วยหักม…
ต้นทองนพเก้า ประเภทไ…
ต้นทองนพเก้า ไม้แต่ง…
มะม่วงหงส์ไข่เท่อร์ …
ลักษณะมะม่วงหงส์ไข่เ…
ผลชิงชี่รับประทานได้เนื้อมีรสหวาน
รากชิงชี่ใช้ใน “พิกัดเบญจโลกวิเชียร” (ยาแก้วห้าดวง หรือยาห้าราก) สรรพคุณแก้ไข้ต่างๆ กระทุ้งพิษหรือถอนพิษต่างๆ