กล้วยสุก หนึ่งในผลไม้ช่วยให้หน้าสวย

ผลไม้

ผลไม้ในเมืองไทยมีมากมาย อีกทั้งผลไม้ก็ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรบำรุงผิว ไม่ว่าจะเป็นการทานแบบสดหรือแม้แต่การสกัด  และผลไม้ก็มีส่วนช่วยในการดูแลผิวหน้าเราได้อีกด้วย ผลไม้ที่จะแนะนำในวันนี้มีอะไรกันบ้างมาดูกันเลยค่ะ

1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศ มีวิตามินเอ และมีสารอื่นที่ช่วยสมานผิวและยังทำให้สิวหัวดำหลุดออกได้ง่าย ถ้าใช้มะเขือเทศล้างหน้า หรือพอกหน้า จะทำให้ผิวหน้าที่ดำเป็นจุดๆ ลดน้อยลงจนดูขาวขึ้น วิธีใช้ เอามะเขือกเทศมาฝานปิดเอาไว้เฉยๆ ก็พอได้ สำหรับพวกหน้ามัน ส่วนผิวประเภทอื่นให้เอามะเขือเทศมาปั่นผสมกับรำข้าว(ในรำข้าวมีน้ำมัน) พอกหน้าได้เลย พอกได้นานพอสมควรอย่างสบายใจไม่ต้องกังวล จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

มะเขือเทศ
มะเขือเทศ ผลกลมผิวนอกลีบเป็นมัน ผลสุกสีแดง

2. มะละกอสุก

มะละกอสุก เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินเอ สามารถมาใช้พอกหน้าได้ ควรใช้เฉพาะมะละกอสุกเท่านั้น วิธีใช้ เช่นเดียวกับมะเขือเทศ มะละกอสุกนอกจากจะให้ความชุ่มชื้นกับผิวแล้ว เมือกที่มีอยู่ในเนื้อมะละกอจะช่วยทำให้การสูญเสียน้ำบริเวณผิวหน้าลดลง พอเราพอกทิ้งเอาไว้สักครู่ ล้างน้ำให้สะอาดแล้ว หน้าจะนุ่มขึ้นจนคุณสัมผัสได้

มะละกอสุก
มะละกอสุก เนื้อสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็กอยู่

3. กล้วยสุก

กล้วยสุก มีคุณสมบัติคล้ายๆ มะละกอ คือมีสารเมือกที่ทำให้ชุ่มชื้น ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งไม่ควรใช้กล้วยประเภทที่มีกลิ่นหอม อาทิ กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง เพราะน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในกล้วยที่มีกลิ่นหอมอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ แต่ถ้าคุณมีผิวมันก็ลุยได้เลย น้ำมันหอมระเหยที่ว่านี้สามารถละลายในน้ำมันที่เยิ้มอยู่บนผิวหน้าคุณได้อยู่แล้ว จึงไม่เกิดการระคายเคืองแต่อย่างใด คนผิวแห้งจึงควรเลี่ยงไปใช้กล้วยน้ำว้าสุกแทน แต่คนผิวหน้าชนิดอื่นจะใช้กล้วยน้ำว้าสุกก็ได้เหมือนกัน เพราะราคาถูก หาซื้อง่ายกว่ากล้วยชนิดอื่น กินไปด้วยพอกหน้าไปด้วย นั่งในห้องดูทีวีอย่างมีความสุข

ผลกล้วย
กล้วยเนื้อผลสีเหลือง หรือขาว

4. อะโวคาโด

อะโวคาโด ผลไม้ที่ปลูกอยู่ทางภาคเหนือ เป็นผลไม้ต้องห้ามสำหรับคนผิวมัน แต่เหมาะมากกับคนผิวแห้ง เพราะมีวิตามินอีและเนื้อในของอะโวคาโดมีเมือกด้วย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ควรพอกหน้าก่อนเข้านอนวันละครั้งก็ไม่เลว

อะโวคาโด
อะโวคาโด เนื้ออะโวคาโดจะมีลักษณะเป็นครีม อ่อนนุ่ม มีรสชาติคล้ายเนย

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ : 
www.thaihof.org
www.flickr.com

 

One Comment

Add a Comment