การปลูกสตรอเบอร์รี่ ผลไม้เมืองหนาว ปลูกมากในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่ จัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีการปลูกกระจายกันมากที่สุดในโลก สามารถพบได้แทบทุกประเทศตั้งแต่แถบขั้วโลกลงมาถึงพื้นที่ใ่นเขตร้อน ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งสภาพภูมิอากาศและชนิดดินที่ใช้ปลูก บางพันธุ์จะพบว่าสามารถปลูก ในทางเหนือของโลกเช่น รัฐ Alaska ได้ดีเท่ากับปลูกในทางใต้ลงมาเช่นแถบ Equato

สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมาหลายร้อยปีมาแล้ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้พบว่าผลผลิต ที่ใช้สําหรับบริโภคเป็นผลสด และใช้ในเชิงอุตสาหกรรมแปรรูปได้เพิ่มปริมาณมากขึ้น อย่างรวดเร็วตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งนี้เป็นสาเหตุมาจากการผสมพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตยาวนานขึ้น การนําระบบปลูกแบบดูแลอย่างใกล้ชิดมาใช้ตลอดจนการเลือกพื้นที่ปลูกที่มีความเหมาะสมมากกว่าแต่ก่อน ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการทดลองวิจัยที่จะหาวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะทําให้การปลูก สตรอเบอร์รีนั้นง่ายขึ้นโดยเน้นการให้ผลผลิตสูงและสามารถทํารายได้ตอบแทนเป็นที่พอใจแก่เกษตรกรผู้ปลูก

ในประเทศไทย แม้ว่าจะมีพื้นที่ปลูกสตรอเบอร์รีส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ เช่น บางอําเภอในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และในพื้นที่ บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดเลยและจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น แต่ยังมีแนวโน้มที่สามารถปลูกได้ผลพอสมควร ในพื้นที่สูงของภาคกลาง เช่น แถบบนภูเขาของจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องมาจากความต้องการ ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้สตรอเบอร์รีจึงถูกพิจารณาจัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ซึ่งสามารถช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกนับเป็นพันครอบครัว ให้ดีขึ้นทั้งพื้นที่ราบและบนที่สูง นอกจากนี้ยังพบว่ามีศักยภาพสูงมาก สําหรับการผลิตสตรอเบอร์รี่เพื่อจุดประสงค์ในการขยายช่วงของ การเก็บเกี่ยวหรือผลิตให้ผลออกนอกฤดูกาลบนพื้นที่สูงของประเทศไทยซึ่งมีสภาพอากาศหนาวเย็นพอเหมาะตลอดทั้งปีและมีอนาคต สําหรับการส่งออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่ง สามารถผลิตได้ในช่วงดังกล่าวอีกด้วย

สตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่ ผลสุกสีแดง

พันธุ์

ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 จนถึงพ.ศ. 2541 ได้มีการนําสตรอเบอรี่พันธ์ต่างๆ จากต่างประเทศ เข้ามาทดลองปลูกมากมาย จากปี พ.ศ.2515 ปรากฎว่าพันธุ์ Cambridge Favorite, Tioga และ Sequoia โดยรู้จักกันในนามพันธุ์พระราชทานเบอร์ 13,16 และ 20 ตามลําดับ ได้ถูกพิจารณาว่าสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ต่อมา พบว่าพันธุ์ Tioga สามารถปรับตัวได้ดีทั้งพื้นที่ปลูกบนภูเขาสูงระดับ 1,200 เมตร และพื้นที่ราบของทั้งสองจังหวัด เกษตรกรขณะนั้นเกือบทั้งหมดใช้พันธุ์ปลูกเป็นการค้ากันทั่วไป โดยไม่มีพันธุ์อื่นมาแทนที่

พ.ศ. 2528 ได้มีการนําพันธุ์ Akio Pajaro และ Douglas จากอเมริกาทดลองปลูกในสถานีโครง การหลวงที่ดอยอินทนนท์ แต่ก็ไม่ประสบผลสําเร็จ ต่อมาอีกหนึ่งปีได้มีการนำพันธุ์ Nyoho Toyonoka และ Aiberry จากประเทศญีปุ่น เข้ามาทดลองปลูก ผลปรากฎว่าสองพันธุ์แรกสามารถปรับตัวได้ดีบนพื้นที่สูงหลังจากนั้น มาเริ่มมีผู้นำพันธุ์อื่นๆ เข้ามาปลูกทดสอบมากมาย จน กระทั่ง มีการตั้งพันธุ์ Toyonoka เป็นพันธุ์พระราชทาน 70 (ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2540 ที่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา) และพันธุ์ B5 เป็นพันธุ์พระราช ทาน 50 ปี (ปี พ.ศ. 2539 ซึ่ง เป็นปีฉลองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี) ปัจจุบันพันธุ์สตรอเบอร์รีที่นับว่าปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่ของประเทศได้แก่ พันธุ์พระราชทาน 16, 20, 50 และ 70 นอก จากนี้ยังมีพันธุ์ Nyoho, Dover และ Selva บ้าง ในบางพื้นที่

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงขณะนี้ทางศูนย์ค้นคว้าและพัฒนาระบบเกษตรในเขตที่สูง และสถานีวิจัยดอยปุยของสํานักงานโครงการ จัดตั้งสถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบเกษตรใน เขตวิกฤต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็กำลังดําเนินการวิจัย ศึกษาหาข้อมูลของสตรอเบอร์รี่เพิ่มเติมมา โดยตลอดรวมทั้งเทคนิควิธีการปลูกและการดูแลแบบสมัยใหม่เหมือนในต่างประเทศที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรม การค้า โดยจะนําผลงานที่ได้เหล่านี้ทำการส่งเสริมเผยแพร่หรือจัดฝึกอบรมให้เกษตรกรผู้ปลูกในพื้นที่ต่างๆ ต่อไป

พื้นที่การผลิต

พื้นที่การปลูกสตรอเบอร์รี่ของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา เนื่องมาจากการขยายตัวของตลาด ทั้งภายในและภายนอกประเทศโดยเฉพาะใน ด้านการนํามาแปรรูปพื้นที่การผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เพราะมีอากาศเย็นที่สตรอเบอร์รี่ สามารถให้ผลผลิตได้ในระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมรวม พื้นที่การผลิตทั้งประเทศประมาณ 2,600-3,000 ไร่ต่อปี

  1. เชียงใหม่ สามารถแบ่งพื้นที่ปลูกออกมาตามอําเภอต่าง ๆ ได้ดังนี้ คือ ฝาง แม่ริม สะเมิง จอมทอง (บนดอยอินทนนท์) และพื้นที่รอบๆ ตัวเมือง ผลผลิตส่วนใหญ่ของพื้นที่ปลูก ในอําเภอแม่ริม ดอยอินทนนท์และพื้นที่รอบๆเมืองเชียงใหม่จะทําการจําหน่าย เป็นผลรับ ประทานสดแก่นักท่องเที่ยว และขนส่งเข้าตลาดที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก ส่วนผลผลิตที่ อําเภอสะเมิงและฝางจะส่งจําหน่าย ให้แก่โรงงานใกล้เคียงเพื่อทําการแปรรูป ปัจจุบนั ในปี พ.ศ. 2539-41 พื้นที่ปลูกสตรอเบอร์รีในอําเภอสะเมิงมีประมาณ 2,000-2,500 ไร่ ในขณะที่ อําเภอฝางมีประมาณ 200 ไร่
  2. เชียงราย พื้นที่หลักในการผลิตสตรอเบอร์รีอยู่ที่อำเภอแม่สายและอาจมีกระจายบ้างอยู่ทั่วไปๆ บริเวณใกล้เคียง ผลผลิต ส่วนใหญ่ประมาณ 60% จะส่งเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อจําหน่ายเป็นผลรับประทานสด นอกนั้นจะทําการส่งเข้าโรงงานเพื่อแปรรูป ประมาณ 20% และเกษตรกรจะจําหน่ายเองให้กับนักท่องเที่ยวอีก 20% เนื่องจากมีโรคระบาดและต้นตายมาก หลังปลูกจึงทําให้ พื้นที่ปลูกในปี พ.ศ. 2535 ประมาณ 800 ไร่ ลดลงเหลือ 350 ไร่ ใน พ.ศ. 2537 และ 250 ไร่ ใน พ.ศ. 2540 นอกจากนี้เกษตรกร บางรายได้ขายที่ดินหรือเปลี่ยนไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นจึงทําใหพื้นที่ปลูกลดลงด้วย ปัจจุบันเกษตรกรในอําเภอแม่สายสามารถผลิตสตรอเบอร์รี่ได้เพียง 60% ของความต้องการของตลาดเท่านั้น
  3. สตรอเบอร์รี่ยังถูกปลูกกันโดยทั่วไปบนที่สูงในหลายจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อําเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอําเภอภูเรือ จังหวัดเลย ทางตะวันตก เช่น เทือกเขาในอําเภอทองผาภูมิและอําเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ซึ่ง คาดว่าอาจจะ เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญต่อไปในอนาคตสําหรับการปลูกสตรอเบอร์รี่ของประเทศไทย
สตรอว์เบอร์รี
สตรอว์เบอร์รี ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีส้มและแดง

การตลาดและเศรษฐกิจ

ประเทศไทยมีการส่งออกผลสตรอเบอรี่ ในเชิงอุตสาหกรรมไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 และสามารถทํารายได้หลายร้อยล้านบาทต่อปี ประเทศหลักที่ส่งไปจําหน่ายได้แก่ ญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีปริมาณการส่งออกในระยะสองสามปีที่ผ่านมาลดลงเนื่องงมาจากมี ประเทศคู่ แข่งคือ สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลี การที่ไม่ได้มีพัฒนาทางด้านการปลูกแบบสมัยใหม่เพื่อให้ผล ผลิตมากขึ้นหรือไม่มี การเปลี่ยนเป็นพันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการรวมทั้ง ภายในประเทศเองก็มี การใช้บริโภคทั้ง ผลสดและแปรรูปมากขึ้นก็นับว่าเป็นหลาย ๆ สาเหตุประกอบกัน

ในอําเภอแม่สายและพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่นั้น มูลค่าต้นทุนของการผลิตต่อไร่ตก ประมาณ 25,000-30,000 บาทและรายได้ ตอบแทนต่อไร่ 62,500 บาท (คิดจากค่าเฉลี่่ย 2,500 กก. ต่อไร่และ 25 บาทต่อ กก.) ขณะที่เกษตรกรบนดอยอินทนนท์ใช้ต้นทุน การผลิต ไร่ละ 30,000-35,000 บาท และมีรายได้ไร่ละ 72,500 บาท เนื่องจากสามารถขายเป็นผล รับประทานสดแก่นักท่องเที่ยว และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานกว่าพื้นราบ ปกติแล้วผลผลิตจะออก ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคมในพื้นที่ปลูกบนที่สูงและระหว่างเดือนธันวาคม ถึงเมษายนในพื้นที่ปลูกบนพื้นราบ ผลผลิตที่ออกก่อนในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมจะมีคุณภาพดีและ ขนาดใหญ่ ทําให้จำหน่ายได้ในราคาสูงประมาณ 70-80 บาทต่อกิโลกรัมในท้องตลาดทั่วไป หลังจากนั้น ขนาดผลจะเล็กลง และ จําหน่ายได้ในราคา 20-30 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมีนาคม

ปัจจุบันยังมีความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อใช้ผลิตของสตรอเบอร์ รี่ในเชิงอุตสาหกรรมเป็นปริมาณมากมายต่อปี และกําลังมีแนวโน้มเพิิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจํานวน ประชากร ประเทศญี่ปุ่นเป็นแหล่งใหญ่ของไทยในการนําเข้าผลสตรอเบอร์รี่ เพื่อใช้ในการแปรรูปมากที่สุด (ที่ผ่านมาประมาณ 1,000-3,000 ตันต่อปี) นอกจากนี้ยังเคยมีการขนส่งผลรับ ประทานสดไปจําหน่ายยังประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ และบางประเทศในแถบยุโรปบ้างเล็กน้อย โดยมูลนิธิโครงการหลวงอีกด้วย

การปลูก

ด้วยระบบการปลูกสตรอเบอร์รี่ ในปัจจุบันของประเทศ ไทย ต้นไหลจะถูกบังคับให้เกิดการพัฒนา ของตาดอกและเพื่อความแข็งแรงก่อนปลูก โดยการปล่อยให้ได้รับอุณหภูมิเย็นในเวลากลางคืนบนที่สุด ซึ่งจะทำให้ออกดอกได้เร็วกว่าต้นไหลบนที่ราบ เดือนเมษายน ต้นไหลทั้งหมด ที่ออกมาจะถูกปลูกลงในถุงพลาสติกเล็กที่บรรจุดินแล้วขนาด 3 x 5 ซม. และปล่อยให้เจริญเติบโตในแปลงจนกระทั่งเดือนมิถุนายน จึงขนขึ้นไปปลูกบนที่สูงประมาณ 1,200-1,400 เมตร เพื่อผลิตต้นไหลต่อไปซึ่งจะตรงกับช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) หลังจากที่ ปล่อยให้ต้นไหลที่เจริญอยู่ในถุงพลาสติก และได้รับความหนาวเย็นบนที่สูงจนเพียงพอแล้วจะนําลงไปปลูกในแปลงที่พื้นราบไม่เกิน ต้นเดือนตุลาคม เพราะถ้าหากปลูกช้าเกินไปจะทําให้ผลผลิตออกช้าตามไปด้วย ต้นไหลที่ผลิตได้จากบนที่สูงนี้จะสามารถตั้งตัวและออกดอกได้เร็วกว่า (ประมาณเดือนธันวาคม) ปกติเกษตรกรจะใช้ระยะปลูก 30 x 40 ซม. สําหรับการปลูกแบบสองแถว และระยะปลูก 25 x 30 ซม. สําหรับการปลูกแบบสี่แถว ดังนี้จะใช้จำนวนต้นไหลทั้งหมดประมาณ 8,000-10,000 ต้นต่อไร่ การคลุมแปลงนั้นจะใช้ฟางข้าว  ใบตองเหียง หรือใบตองตึง อย่างใดอย่างหนึ่งหรือร่วมกันก็ได้คลุมระหว่างแถวในแปลงยกร่อง (โดยจะทําการคลุมก้อนหรือหลังจากปลูกได้ 1-2 สัปดาห์แล้วแต่พื้นที่) ดอกแรกจะบานได้ในราวต้นเดือนพฤศจิกายน และสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคมในพื้นที่ปลูกของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดเชียงรายซึ่งมีสภาพอากาศที่เย็นกว่าจะเก็บเกี่ยวต่อไปได้อีกจนถึงเดือน เมษายน

เมื่อถึงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น ต้นไหลที่เจริญออกมาก็จะถูก บังคับให้เจริญในถุงพลาสติกขนาดเล็กใส่ดินเหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และเตรียมไว้ใช้ เป็นต้นแม่สำหรับการขนขึ้นไปขยายต้นไหลบนที่สูงต่อไปเป็นวงจรเหมือนกันทุกๆ ปี

การปลูกบนที่สูงเมื่ออากาศร้อนขึ้นในปลายช่วงของการเก็บเกี่ยวคือประมาณปลาย เดือนพฤษภาคม ต้นสตรอเบอร์รี่จะมีการสร้างไหลและต้นไหลออกมา ต้นไหลเหล่านี้จะถูกขุด ขึ้นมาปลูกลงในถุงพลาสติกเหมือนในพื้นที่ราบราวกลางเดือนสิงหาคม (มีเกษตรกรบางรายที่ ปล่อยใหต้นไหลเจริญในแปลงโดยตรงซึ่งไม่ได้ชำลงในถุงพลาสติก) และปล่อยให้เจริญอยู่ในแปลงจนกระทั่ง ปลายเดือนกันยายนเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไหลเหล่านี้ได้รับความหนาวเย็นจน เพียงพอต่อการเกิดตาดอกสําหรับเป็นต้นที่ใช้ปลูกในคราว ต่อไป ก่อนปลูกนั้น เกษตกรบนที่สูง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวไทยภูเขาจะทําการยกแปลงปลูก และคลุมแปลงด้วยใบตองเหียงหรือใบตองตึง ต่อจากนั้นจึงเจาะรูโดยใช้กระป๋องนมที่ทำการเปิดปากออกแล้วกดลงไปบนวัสดุคลุมแปลง ให้เป็นรูช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับผลผลิตสูงที่สุดคือก่อนปลายเดือนกันยายนเป็น อย่างช้าปกติจะปลูกเป็นแบบแถวเดี่ยว หรือแถวคู่โดยใช้ระยะปลูก 25 x 30 ซม. บางพื้นที่จะ ทําการปลูกเป็นแบบขั้นบันไดจึงทําให้แถวแคบกว่าการปลูกในพื้นราบ ผลผลิตจะเริ่มเก็บเกี่ยว ได้ระหว่างต้นเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม โดยในระหว่างกลางเดือนธันวาคมถึงกลาง เดือนมกราคม ต้นสตรอเบอร์รี่อาจจะชะงักการเจริญเติบโต เล็กน้อยและไม่ให้ผลผลิตเนื่องจาก สภาพอากาศที่หนาวเย็นเกินไปในเวลากลางคืน (ต่ำกว่า 10 ํC) เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง

การปลูกทั้งในพื้นที่ราบและบนที่สูงจะให้นาโดยปล่อยให้ไหลผ่านไปตามร่องของแปลง ปลูก (Furrow irrigation) แหล่งนํ้าที่ได้อาจมา จากบ่อ สระ หรือคลองเล็กๆ ซึ่งไม่จัดว่าเป็นน้ำที่สะอาดและอาจมีเชื้อโรคต่างๆ สะสมอยู่ใ นน้ำนั้นอย่างไรก็ดีมีบางพื้นที่มีการให้น้ำแบบสปริงเกอร์ (Sprinkle system) โดยใช้นํ้าบาดาลที่สูบขึ้นมาซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ดีกว่าที่กล่าวข้างต้นเพราะทําให้ลดการแพร่ระบาด ของเชื้อโรคที่จะไหลไปยังแปลงอื่น ๆ โดยมีนาเป็นตัวพา

ปกติเกษตรกรจะทําแปลงปลูกต้นสตรอเบอร์รี่ให้อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ทั้งนี้เพื่อให้ต้นได้รับแสงเต็มที่เป็นการเพิ่มการเจริญเติบโตและสี ของผลก็จะพัฒนาได้ดีขึ้นสภาพพื้นที่ปลูก

สตรอเบอร์รี่ โดยทั่วไปจะอยู่ใกล้ตลาดหรือโรงงานแปรรูปหรือเป็นพื้นที่เดิมที่ใช้ต่อเนื่องกันมาทุกๆ ปีโดยมีการปลูกพืชอื่นหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ โดยทั่วไปก่อนทําการปลูกสตรอเบอร์รีนั้นเกษตรกรไม่ได้ทําการอบดินในแปลงปลูก ด้วยสารเคมีเพื่อควบคุมโรคในดิน ไส้เดือนฝอย หรือวัชพืชแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการปลูกสตรอเบอร์รีที่ถูกต้อง ตลอดจนถึงการดูแลรักษา และการควบคุมศัตรูพืชด้วย

เนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดที่ใช้ผลผลิตสตรอเบอรี่ในเชิงอุตสาหกรรมทําให้มีความต้องการต้นไหลในปัจจุบันมากกว่า 25-30 ล้านต้นต่อปี ราคาของต้นไหลที่ จําหน่ายจะขึ้นกับปริมาณมากน้อยของแต่ละปี รวมทั้งขนาดของต้นไหลเองอีกด้วย ซึ่ง ส่วนใหญ่จะจําหน่ายกันในราคา 1-1.50 บาทต่อต้น

แปลงปลูกสตรอเบอร์รี่
แปลงปลูกสตรอเบอร์รี่ ใช้ระยะปลูก 30 x 40 ซม.

การเก็บเกี่ยว

ผลผลิตรวมทั้งประเทศนั้นส่วนใหญ่ประมาณ 40% จะถูกขนส่งเข้าสู่ตลาดกรุงเทพมหานครเพื่อจําหน่ายเป็นผลสดอีก 40% จะส่งเข้าโรงงานเพื่อทําการแปรรูปสําหรับใช้ภายในและส่งออกต่างประเทศ จะส่งเข้าโรงงานเพื่อทําการแปรรูปสําหรับใช้ภายในและส่งออกต่างประเทศ และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 20% จะจําหน่ายเป็นผลสดและแปรรูปในอุตสาหกรรม แบบครัวเรือนให้กับนักท่องเที่ยวภายในท้องถิ่นนั้นๆ

ผลที่ใช้รับประทานสดจะถูกเก็บเกี่ยวและแบ่งเกรดโดยเกษตรกรเองในโรงเรียนชั่วคราว ใกล้แปลงปลูก ผลจะถูกแบ่งเกรดตาม การพัฒนาของสีออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 61-80 % สําหรับ จําหน่ายในท้องถิ่น 41-60 % สําหรับจําหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวและ 21-40 % สําหรับขนส่ง เข้ากรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งจากพื้นที่ปลูกบนที่สูงสู่ตลาดพื้นราบทําให้เกษตรกรบางราย เก็บเกี่ยวขณะที่สีของผลพัฒนาเพียง 10-15 % ตามร้านขายผลไม้ในตลาดสดและร้านจําหน่ายข้างทางจะจําหน่ายโดยชั่งน้ำหนักเป็นกิโลกรัมแล้วบรรจุลงในถุง พลาสติก สําหรับการจําหน่ายเป็นผลรับประทานรับประทานสดของมูลนิธิโครงการหลวงนั้น ผล จะถูกแบ่งเกรด ตามน้ำหนักและคุณภาพแล้วบรรจุวางเรียงสองชั้น ในถาดพลาสติกใส (แต่เดิมใช้ถาดโฟมบรรจุชั้นเดียว) หุ้มด้วยพลาสติกบางเพื่อไม่ให้ผลเคลื่อนที่ในขณะเวลาขนส่งและใส่รวมกันชั้นเดียวในกล่องกระดาษแข็งสําหรับใส่ผลไม้ปกติจะบรรจุถาดละ 250-260 กรัม เพื่อ ขาย ตามซุปเปอร์มาเกตหรือร้านค้าทั่วไป

ผลสตรอเบอร์รี่ที่ใช้ในการแปรรูปจะถูกเก็บมาจากแปลงปลูกและขนส่งมาทีโรงงาน (ผล อาจจะจะถูกตัดขั้วออกก่อนนํามาส่งหรือตัดที่โรงงาน) แบ่งคัดตามเกรดล้างด้วยนํ้าที่สะอาด หลังจากนั้นผลบางส่วนจะถูกแช่แข็งเลยทันที และบางส่วนจะนํามาใส่ถุงพลาสติกที่บรรจุ อยู่ในภาชนะเช่น ปี๊บแบบที่ใส่น้ำมันก๊าด และใส่น้ำตาลบนผลสตรอเบอร์รี่ตามสัดส่วนที่ตลาดเป็นผู้กำหนดมาเช่น นํ้าหนักผล 14 กก. ต่อน้ำตาลทรายขาว 1.2  กก. เป็นต้น หลังจากนั้นจะทําการปิดฝาและรีบนําเข้าห้องเย็นแบบแช่แข็งเตรียมขนส่งไปยังต่างประเทศต่อไป

ผลสตรอเบอร์รี่สุก
ผลสตรอเบอร์รี่สุก ผิวผลเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีแดงถึงแดงจัด เงาเป็นมันที่ผิวผล

ปัญหา

  1. พันธุ์ Tioga ได้ถูกปลูกมาเป็นเวลานานเกือบ 30 ปีแล้ว โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนเป็น พันธุ์ใหม่ที่ดีกว่า ขณะนี้เกษตรกรกําลังต้องการ พันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการมาทดแทน เนื่องจาก พันธุ์นี้มีช่วงการเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างสั้น ผลมีขนาดเล็กซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของตลาด รับ ประทานผลสด รวมทั้ง รสชาติที่ค่อนข้างเปรี้ยวไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค
  2. เนื่องมาจากปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีการคัดเลือกต้นแม่ที่มีคุณภาพในการขยายต้น ไหล ขาดวิธีจัดการที่ดีทางเขตกรรมในแปลงก่อน และหลังการปลูก รวมทั้ง การใช้ต้นแม่พันธุ์เก่าขยายต้นไหลอย่างสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยไม่ได้มีการใช้ต้นแม่พันธุ์ที่ผ่านการรับรองซึ่ง ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญและปลอดโรค จึงทําให้ต้นไหลที่ได้อ่อนแอให้ผลผลิตตํ่าในช่วงของฤดูกาลปลูก ผลผลิตที่ได้ก็มีคุณภาพที่ไม่ดีตามไปด้วย ขนาดของผลเล็กลงมากในช่วงกลางและปลายฤดูจนไม่สามารถจําหน่ายได้ ซึ่งถือว่าเป็น การสูญเสียอย่างมาก
  3. ผลที่เก็บเกี่ยวมาไม่มีการพัฒนาของสีหรือความสุกที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน(ซึ่งโดยทัั่วไปควรจะให้มีการพัฒนาของสีอยู่ระหว่าง 50-70 % บนผิวผล) ในประเทศไทยเกษตรกรผู้ปลูกสตรอเบอร์รี่จะเก็บเกี่ยวผลหลายช่วงของการพัฒนาของสีโดยขึ้นอยู่กับตลาด ปัญหาที่เกิด ขึ้นคือความไม่มีรสชาติของผลที่สุกไม่เต็มที่ เนื่องจากสตรอเบอร์รีจัดเป็นผลไม้พวก Non- climacteric ซึ่งต้องเก็บเกี่ยว ตอนผลสุกจึงจะให้รสชาติที่ดี นอกจากนี้ผลมีความชอกช้ำง่ายใน ขณะขนส่ง ทําให้กลายเป็นผลเกรดต่ำอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงตลาด ในสภาพอากาศร้อน การ พิจารณาช่วงเก็บเกี่ยวที่เป็นมาตรฐานและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่มีประสิทธิภาพ ควรนํามาใช้ในการปลูกสตรอเบอร์รี่ที่เป็นการค้าอย่างจริงจัง
  4. เนื่องมาจากการเข้าทําลายของโรคทางราก และลําต้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทําให้พื้นที่การปลูกสตรอเบอร์รี่บางแห่งลดปริมาณลงไปกว่าครึ่ง เช่น ที่อำเภอแม่สายและฝาง ปัจจุบัน ก็ยังเป็นปัญหาอยู่โดยเกษตรกรขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ไข หรือ การควบคุมป้องกัน เรื่องโรคแมลงที่เป็นศัตรูต่างๆ รวมทั้งยังขาดการประสานงานและความช่วยเหลืออย่างทันเหตุการณ์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นอีกด้วย
  5. ราคาผลผลิตต่อกิโลกรัมที่ค่อนข้างข้างต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เช่น ผลผลิตส่งโรงงานกิโลกรัมละ 8-13 บาท และผลรับประทานสดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 20-30 บาท

ท้ายที่สุดนี้ยังคงมีความเป็นไปได้อย่างมาก สําหรับการปลูกสตรอเบอร์รี่ให้เป็นการค้า อย่างจริงจังในประเทศไทย เกษตรกรผู้ปลูกทั้งหมด กําลังรอความหวังจากมหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐและเอกชนเพื่อช่วยพวกเขาในการแก้ปัญหา การรวมกันขององค์ประกอบ ดังเช่น ภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวยทางเศรษฐกิจ ตัวเกษตรกรเอง และการทํางานกันอย่างเต็มที่ของทีมงานวิจัยจากทางมหาวิทยาลัย ก็คาดได้ว่าจะส่งผลทําให้การปลูกสตรอเบอร์รี่ ของ ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมการค้าที่สดใสและเกิดมีชื่อเสียงมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้

ราคาขาย

ราคา ณ วันที่ 2 เมษายน 2565

  • สตรอเบอร์รีอเมริกา (ใหญ่สวย) ราคา 1,550 บาท /กล่อง ราคา ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564
  • สตรอเบอร์รีเกาหลี (ใหญ่สวย) ราคา 1,200 บาท /กล่อง  สตรอเบอร์รีเกาหลี (เล็กสวย) ราคา 1,100 บาท /กล่อง
  • สตรอเบอร์รี 80 (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ 120 บาท / กลางสวย 100 บาท / เล็กสวย ราคากิโลกรัมละ 80 บาท 
  • สตรอเบอร์รี 329 (ใหญ่สวย) ราคากิโลกรัมละ 70 บาท / กลางสวย 60 บาท / เล็กสวย ราคากิโลกรัมละ 40 บาท ราคา ณ วันที่ 19 2564

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ :
http://www.eto.ku.ac.th
https://thaipublica.org
https://www.simummuangmarket.com
https://www.flickr.com

3 Comments

Add a Comment